นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะซึมตัวลง คล้ายคลึงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ซึมตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากมีปัจจัยที่สำคัญอยู่ 2-3 ปัจจัยที่จะต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ เรื่องที่สหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เริ่มมีผลในวันนี้ ซึ่งต้องรอดูว่าจะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง
นอกจากนี้ ยังจะมีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในสัปดาห์นี้ด้วย ตลาดฯคาดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ก็ต้องรอดูแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปีนี้ทิศทางดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร
ส่วนตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมาก็ได้มีการปรับขึ้นไปมากแล้ว ดังนั้นอาจจะต้องเผชิญแรงทำกำไรเป็นรายหลักทรัพย์ได้ อย่างหุ้นในกลุ่มพลังงานได้มีการเข้ามาเล่นเก็งกำไรกันมากในช่วงที่ผ่านมาตอบรับราคาพลังงานที่สูงขึ้น และด้วยราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้มองว่าค่าไฟจะปรับขึ้นด้วยส่งผลบวกต่อกลุ่มพลังงานในระดับหนึ่งไปแล้ว ต่อไปก็หันไปมองกลุ่มพลังงานทดแทน อย่างกลุ่มโรงไฟฟ้าซึ่งที่ผ่านมาก็พักตัวมานาน ตอนนี้คนเริ่มหันมาสนใจ เพราะกลุ่มนี้ก็มีกำไรที่มีเสถียรภาพ อย่างหุ้น GUNKUL, PSTC, SSP, PTTCH เป็นต้น และที่น่าสนใจหุ้นที่ยังมีการซื้อขายไม่แพง อย่างหุ้น SCC, AEONTS, M เป็นต้น
พร้อมให้แนวรับ 1,750-1,740 จุด ส่วนแนวต้าน 1,762 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (21 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,743.50 จุด เพิ่มขึ้น 86.52 จุด (+0.32%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,929.67 จุด ลดลง 1.08 จุด (-0.04%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,986.96 จุด ลดลง 41.28 จุด (-0.51%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 169.73 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปรค์ ลดลง 1.99 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.41 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 21.42 จุด
ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วง, ตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดทำการวันนี้เนื่องในเทศกาลไหว้พระจันทร์ และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (21 ก.ย.61) 1,756.12 จุด เพิ่มขึ้น 4.01 จุด (+0.23%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 605.15 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 ก.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (21 ก.ย.61) ปิดที่ 70.78 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 46 เซนต์ หรือ 0.7%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (21 ก.ย.61) ที่ 5.96 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.47 จับตาข้อพิพาทการค้าสหรัฐ-จีน หลังจีนยกเลิกแผนเจรจา-การประชุม FED สัปดาห์นี้
- รมว.พลังงาน จะแถลงวันนี้ ยันไม่เลื่อนประมูล ปตท.สผ.-เชฟรอน ควงพันธมิตร พร้อมยื่นชิงหลุมก๊าซ 25 ก.ย.นี้
- รฟท.จ่อขายซองทีโออาร์ ไฮสปีดไทย-จีน ล็อตละ 6 สัญญารวด รวม 12 สัญญาภายในปีนี้
- "ไอพีโอ" ปีนี้พลาดเป้ากว่า 2 แสนล้าน หลัง 9 เดือน ระดมทุนเพียง 10 บริษัท มูลค่า 2.2 หมื่นล้าน ขณะเป้าหมายทั้งปี 40 บริษัท 2.8 แสนล้าน วงการโบรกฯ ชี้ผลจากเกณฑ์รับหลักทรัพย์ใหม่เข้มงวดขึ้น หลายบริษัทต้องเลื่อนแผนระดมทุน หวังหุ้นใหญ่ "โอสถสภา" ปลุกตลาดท้ายปีคึกคักขึ้น
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จากระดับ 1.75-2.00% เป็น 2.00-2.25% ในวันที่ 25-26 กันยายน 2561 ตลอดจนประกาศเพิ่มระดับการลดขนาดงบดุลไปที่ระดับสูงสุดที่ 5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน ทั้งนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีพัฒนาการที่แข็งแกร่ง รวมทั้งทิศทางของเงินเฟ้อที่เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเป้าหมายเงินเฟ้อของเฟด คงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด รวมทั้งการลดขนาดงบดุลในระดับที่เร่งขึ้น คงเป็นปัจจัยท้าทายต่อประเทศในตลาดเกิดใหม่ ที่อาจจะเผชิญกับความผันผวนของกระแสเงินทุนมากขึ้น
- สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) เปิดเผยว่า ราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 61/62 ที่จะประกาศเดือน ต.ค.นี้ มีแนวโน้มเฉลี่ย 680 บาทต่อตัน เนื่องจากราคาน้ำตาลทรายดิบตลาดโลกตกต่ำ ซึ่งเตรียมเสนอแนวทางการช่วยเหลือชาวไร่อ้อย ส่งเสริมให้ผู้ค้าน้ำมันนำน้ำตาลส่วนเกินที่ส่งออกในราคาต่ำไปผลิตเอทานอล เพื่อผสมน้ำมันเบนซินในการจำหน่ายเป็นแก๊สโซฮอล์มากขึ้นอาจต้องปรับราคาน้ำมันขึ้นประมาณ 2-3 สตางค์ต่อลิตร ให้มีเงินเข้าระบบมาช่วยเหลือชาวไร่อ้อยกว่า 1,000 ล้านบาท
*หุ้นเด่นวันนี้
- SCP (กรุงศรี) "ซื้อเก็งกำไร" ราคายัง under value เมื่อเทียบกับ SEAFCO และ PYLON ซึ่งทำธุรกิจใกล้เคียงกัน โดยที่ฐานกำไรสุทธิของ SCP สูงกว่า SEAFCO และ PYLON แต่ PE และ Market cap ต่ำกว่ามาก อีกทั้ง SCP ยังมีปันผลสม่ำเสมอให้ yield ประมาณ 4% ต่อปี
- CK (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 31 บาท ปัจจุบันมีงานในมือไม่สูงนักประมาณ 6.2 หมื่นล้านบาท แต่ในช่วงที่เหลือของปี 2561 และครึ่งแรกของปี 2562 คาดหวังจะมีงานประมูลของรัฐบาลออกมามากขึ้นร่วม 0.7-1 ล้านล้านบาท CK มีจุดเด่นที่มูลค่าของบริษัทลูก คือ BEM, CKP, TTW มีมูลค่าสูงถึง 6 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 36 บาทต่อหุ้น และบริษัทลูกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังช่วยหางานให้ CK ด้านเทคนิคลุ้นรีบาวน์ ต้าน 29 รับ 27 บาท
- PCSGH (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 11 บาท ราคาหุ้นยัง laggard กลุ่มยานยนต์อยู่ราว 9% ทั้งที่แนวโน้มกำไรสุทธิ H2/61 จะโตแรงสุดในกลุ่ม +20% Y-Y (คาดกลุ่ม -6% Y-Y ถึง -14% Y-Y) จากฐานที่ต่ำในปีก่อน และคาดว่าโรงงานในยุโรปจะเริ่มทำกำไรได้ พร้อมคาดกำไรปีนี้ +23% Y-Y อยู่ที่ 790 ลบ. ปีหน้า +13% Y-Y อยู่ที่ 894 ลบ. โดยชิ้นส่วน EV จากยุโรปจะเริ่มผลิต Q4/62 และมีแนวโน้มได้คำสั่งจากกลุ่มลูกค้าในเอเชีย ตามเม็ดเงินลงทุนด้าน EV ของทั้ง Toyota และ Nissan ที่เพิ่มสูงขึ้น