MILL หวังรายได้ปี 51 แตะ 4 พัน ลบ.ดันอัตรากำไรสุทธิเพิ่มเป็น 5%

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 28, 2007 11:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.มิลล์คอนสตีล อินดัสทรีส์ (MILL)คาดอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ในปี 51 เพิ่มขึ้นเป็น 5% จาก 2-3% ในปี 50 ดันกำไรสุทธิดีกว่าปีนี้ แม้ว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นใกล้เคียงกันที่ 9% เนื่องจากบริษัทได้เพิ่มการใช้กำลังการผลิต เป็น 50% จาก 40% ในปี 50 โดยกำลังการผลิตของบริษัททั้งหมดมี 5 แสนตันต่อปี จึงส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง
MILL คาดว่ารายได้ในปี 51 จะเพิ่มขึ้นราว 15% หรือเพิ่มเป็นประมาณ 4 พันล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่ารายได้จะอยู่ที่ 3.3 พันล้านบาท เติบโต 25% จากปี 49 ที่มีรายได้ 2.7 พันล้านบาท
"ปีนี้เรามีเม็ดเงินเข้ามาเพิ่มทำให้เรามีเงินทุนซื้อวัตถุดิบได้ราคาดี มีสต็อกอยู่กว่า 1 พันล้านบาท และเราใช้กำลังการผลิตพิ่มขึ้นทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง เชื่อว่า Net Profit Margin เพิ่มเป็น 5% ก็ทำให้กำไรปีหน้าจะดีขึ้นมาก"นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการ MILL กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ส่วนในไตรมาสที่ 4/50 คาดว่ารายได้และกำไรจะดีกว่าในไตรมาส 3/50 เนื่องจากได้สต็อกเหล็กในราคาต่ำกว่าปัจจุบัน ซึ่งที่ได้เม็ดเงินจากกาขายหุ้น IPO ในช่วงปลายไตรมาส 3 สั่งซื้อก่อนที่ราคาเหล็กจะพุ่งขึ้น ประกอบกับราคาเหล็กปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยในปัจจุบันมาอยู่ที่ 640 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากต้นปี 50 อยู่ที่ประมาณ 400 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ในไตรมาส 3/50 มีรายได้จากการขาย 651.60 ล้านบาท และ กำไรสุทธิ 1.03 ล้านบาท ส่วนในงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 50 ล้านบาท จึงคาดว่าทั้งปีนี้กำไรสุทธิจะดีกว่าปี 49 ที่มีกำไร 66.18 ล้านบาท และมีความเป็นไปได้ที่จะมีการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้น โดยนโยบายปันผลของบริษัทจะจ่ายในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
"เราถือว่าปีนี้เราโชคดีที่เรานำเม็ดเงินไปสต็อกวัตถุดิบเอาไว้ซึ่งประจวบเหมาะกับที่ราคาเหล็กปรับตัวเพิ่มขึ้นจึงทำให้ในปีนี้ net profit margin เราเพิ่มขึ้นและจะทำให้ในปีหน้า net profit margin ก็จะเพิ่มขึ้นมากกว่าปีนี้เพราะแนวโน้มราคาเหล็กยังปรับตัวสูงขึ้นอยู่" นายสิทธิชัย กล่าว
นายสิทธิชัย คาดว่า รายได้ในปี 51 จะเติบโต 15% หรือจะเพิ่มเป็น 4 พันล้านบาท เนื่องจากมองว่าตลาดจะมีความต้องการผลิตภัณฑ์เหล็กเพิ่มขึ้น ทั้งจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็คต์ที่เชื่อว่ารัฐบาลใหม่จะเดินหน้าต่อ
"ปีหน้าเรามองว่าเราจะโตมากกว่าอุตสาหกรรมโดยรวมประมาณ 5% โดยเรามองว่าปีหน้าภาพโดยรวมจะโต 10% เราก็จะโต 15% แต่ถ้าภาพรวมโต 15% เราก็จะโต 20%"นายสิทธิชัย กล่าว
ส่วนในด้านกำไรสุทธินั้น ปีหน้าจะเป็นปีแรกที่บริษัทจะจ่ายภาษีนิติบุคคลลดลงเหลือ 25% จาก 30% ขณะที่ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่คงที่ ก็ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิสูงขึ้นเป็น 5% และส่งผลให้มีกำไรสุทธิดีกว่าปีนี้มาก
บริษัทยังวางแผนทยอยเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตปีละ 10% ภายใน 5 ปี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ได้สูงสุด ซึ่งปี 51 จะเพิ่มเป็น 50% จนถึง 80% บริษัทจะเตรียมการขยายงานในขั้นต่อไป
ปัจุบันบริษัทสัดส่วนการขายเหล็กก่อสร้าง (Long Product) อยู่ที่ 60% ส่วนอีก 40% เป็นสินค้าเหล็กรูปพรรณ (Flat Product) เช่น เหล็กรูปตัวซี เหล็กแผ่น
อีกทั้งการที่บริษัทหันมาเพิ่มธุรกิจในอุตสาหกรรมต่อเนื่องในตลาดใหม่ ๆ เช่นการขายเหล็กรีดร้อนให้กับผู้ประกอบการที่ผลิตเครื่องจักรและเฟอร์นิเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับเหล็ก ช่วยได้ดีในช่วงที่อุตสาหกรรมก่อสร้างในช่วงหน้าฝนซึ่งเป็นช่วง low season
และจะเพิ่มกำลังการผลิตเหล็กรูปตัวซี อีกเท่าตัว เป็น 5-6 หมื่นตัน ซึ่งใช้สำหรับการทำหลังคา โดยยังมีควมต้องการสูงอยู่
MILL มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 1% ของตลาดเหล็กโดยรวมที่มีมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาท
*ปีหน้าอาจสรุปพันธมิตรใหม่ได้-ขยายไลน์ธุรกิจ
นายสิทธิชัย กล่าวว่า บริษัทได้ศึกษาแผนขยายธุรกิจ โดยพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะขยายไปทั้งธุรกิจต้นน้ำ และ ขยายการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับเหล็ก ประกอบกับ ดำเนินหาพันธมิตรทางธุรกิจควบคู่ไปด้วย ซึ่งขณะนี้ได้มีการเจรจากับภาคธุรกิจที่น่าสนใจ 4-5 ราย ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยอาจสรุปในปีหน้า และอาจเลือกมาเป็นพันธมิตรมากกว่า 1 ราย
"เราอยู่ในช่วงศึกษาเจรจากับพันธมิตร 4-5 ราย พันธมิตรที่คุยอยู่ ก็มีบางรายที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเหล็ก ส่วนต่างประเทศ มีบ้าง แต่ไม่มีจากประเทศญี่ปุ่น พันธมิตรที่เข้ามาจะช่วยธุรกิจเรา ยังไม่รู้จะจบเมื่อไหร่ แต่อาจสรุปได้ในปีหน้า" นายสิทธิชัย กล่าว
ทั้งนี้ นโยบายของกลุ่มลีสวัสดิ์ตระกูล คงถือหุ้นใหญ่ 30-40% เพื่อคงอำนาจการบริหารงาน
"อุตสาหกรรมเหล็กแนวโน้มโลกมีการควบรวม ของเราก็คงเป็นอย่างนั้น ฉะนั้น เราก็ต้องเปิด Option เอาไว้ ซึ่งแน่นอนเราต้องหาพันธมิตร และ โปรเจคท์ใหม่ๆเราก็ศึกษาอย่างต่อเนื่อง ก็ต้องดูแลผลประโยชน์ผู้ถือหุ้น" นายสิทธิชัย กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทก็ยังคงมีแผนจะย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์(SET) ซึ่งแผนงานดังกล่าวจะนำเสนอให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณาภายในเดือนมี.ค.หรือ เม.ย. 51 เพราะ MILL อยู่ในธุรกิจเหล็ก ยังต้องการใช้เงินทุนจำนวนมาก
MILL ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กประเภทต่างๆ ได้แก่ เหล็กเส้นและเหล็กข้ออ้อย และ เหล็กรูปพรรณ มีทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท เพิ่งเข้าตลาด mai เมื่อ พ.ย.ที่ผ่านมา

แท็ก (MILL)  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ