นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า บล.กสิกรไทยยังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ปีนี้ไว้ที่ 1,805 จุด บนระดับ P/E ที่ 15.7 เท่า และกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) 110 บาทต่อหุ้น แต่มีโอกาสที่จะปรับเป้าหมายดัชนีขึ้นโดยยังต้องรอติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3/61 ที่จะออกมาก่อน
ทั้งนี้ มองว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่จะมีผลประกอบการออกมาดีคือ ภาคการเกษตร การเงิน ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โรงพยาบาล และอาหาร ส่วนกลุ่มที่คาดว่าผลประกอบการจะออกมาไม่ดีนัก คือ กลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี
นายประกิต มองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจยังคงมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 4.5% ตามปัจจัยบวกจากการลงทุนภาครัฐ ภาคเอกชน และการบริโภคภายในประเทศในกลุ่มนอกภาคการเกษตรไม่น่าห่วง แต่ในภาคการเกษตรการบริโภคยังฟื้นตัวได้ไม่ทั่วถึง แม้ว่าราคาข้าวจะปรับตัวดีขึ้น แต่ในส่วนอื่นๆราคาขายยังคงไม่ฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในช่วงปลายปีทางภาครัฐบาลจะมีนโยบายออกมาเพื่อที่จะกระตุ้นในการบริโภคอีกทางหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าจะสนับสนุนการบริโภคในประเทศให้ฟื้นตัวได้
ส่วนประเด็นการเลือกตั้งภายในประเทศนั้น ที่ผ่านมาได้เริ่มเห็นความชัดเจนขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในกรอบระยะเวลาการเลือกตั้งจะอยู่ภายใน 24 ก.พ.-5 พ.ค.62 ตามคาดการณ์ของการประชุมระหว่างรัฐบาลและพรรคการเมือง เบื้องต้น บล.กสิกรไทย คาดว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้ในช่วงต้นเดือน มี.ค.62 ซึ่งความชัดเจนที่เกิดขึ้นจะช่วยสนับสนุนให้เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะประเทศไทยถือว่ามีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และถือว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัยในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ คาดว่าในระยะเวลา 6 เดือนจากนี้จะมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาอย่างน้อย 5 หมื่นล้านบาทถึง 1 แสนล้านบาท จากช่วงที่ผ่านมาเงินทุนต่างชาติไหลออกไปมากถึง 5.5 แสนล้านบาท
นอกจากนี้มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึงสิ้นปี 61 แม้ว่าในช่วงการประชุมครั้งล่าสุดจะมีผู้ออกเสียงสนับสนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเป็น 2 ต่อ 5 เสียง จากครั้งก่อน 1 ต่อ 6 เสียง แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังไม่ได้มีการปรับมุมมองต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยยังคงตัวเลขคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ปีนี้ไว้ที่ 4.4% สื่อให้เห็นว่า ธปท.กังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่หดตัวถึง 11% การบริโภคยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน และสถานการณ์น้ำท่วมซึ่งอาจมีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ
สำหรับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนคาดว่าจะมีผ่อนคลายมากที่สุดหลังจากผ่านพ้นวันที่ 6 พ.ย. 61 ที่จะมีเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ไปแล้ว และในช่วงเดียวกันจะมีการประชุมสุดยอดผู้นำระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และ ประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ซึ่งเชื่อว่าทั้ง 2 ประเทศจะสามารถตกลงและเจรจากันได้
นายประกิต แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่อิงเศรษฐกิจในประเทศและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลัก อาทิ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BBL,KTB), กลุ่มการเงิน (MTC), กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (SIRI, ORI, LH, SPALI), กลุ่มค้าปลีก (CPN, ROBINS), กลุ่มสื่อสาร (ADVANC), กลุ่มขนส่ง (JWD, BEM) และ IVL