นายต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.อีสเทอร์น สตาร์ เรียลเอสเตท (ESTAR) กล่าวว่า ยอดขาย 8 เดือนที่ผ่านทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี 61 ที่ 1.6 พันล้านบาทแล้ว โดยสามารถทำยอดขายได้สูงถึง 2 พันล้านบาทในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการประสบความสำเร็จในการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม Low rise "Quintara Treehaus สุขุมวิท 42" มูลค่า 1.5 พันล้านบาท ที่ลูกค้าชาวไทยและต่างชาติเข้ามาจองซื้อจนปิดการขายได้เร็ว ส่งผลให้ยอดขายของบริษัททะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
พร้อมกันนี้ ในไตรมาส 4/61 บริษัทจะเปิดตัวอีก 1 โครงการแนวราบย่านพัฒนาการ 20 มูลค่า 1.5 พันล้านบาท เป็นโครงการทาวน์เฮาส์และบ้านแฝด จำนวน 100-200 ยูนิต บนที่ดิน 20 ไร่ ซึ่งมีจุดเด่นเป็นโครงการที่เน้นพื้นที่สีเขียวของส่วนกลาง เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บนที่ต้องการอาศัยหรือเป็นสำนักงาน คาดว่าโครงการดังกล่าวจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และสามารถผลักดันยอดขายของบริษัทให้เพิ่มขึ้นได้อีก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จในแง่ของยอดขายในปีนี้ แต่ในแง่ของรายได้ยอมรับว่าอาจจะยังต้องพยายามผลักดันให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2 พันล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกยังพลาดเป้า โดยที่มีรายได้อยู่ที่ราว 502 ล้านบาท เป็นผลมาจากการโอนโครงการมีไม่มาก โดยส่วนใหญ่มากระจุกตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
ขณะที่ ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ราว 2.5-3 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้อีก 600-800 ล้านบาท และยังมีการขายโครงการที่เป็นสต็อกพร้อมขายที่มีมูลค่ารวม 1.7-1.8 พันล้านบาทที่บริษัทจะพยายามขายออกไปให้ได้มากที่สุด เพื่อผลักดันรายได้ไห้เป็นไปตามเป้า โดยบริษัทยังมั่นใจว่าสามารถทำได้
ส่วนผลกระทบหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรียกธนาคารพาณิชย์เข้าไปกำชับการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้มีเข้มงวดนั้น บริษัทมองว่าผลกระทบอาจจะอยู่ในกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัยระดับราคา 1-2 ล้านบาทที่อาจจะต้องมีการติดตามอย่างระมัดระวังมากขึ้น แต่โดยปกติธนาคารพาณิชย์มีเกณฑ์ในการพิจารณาสินเชี่อที่มีระบบในการประเมินตามมาตรฐานอยู่แล้ว และมองว่าไม่ได้มีการลดหย่อนเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อลงแต่อย่างใด
อีกทั้งในโครงการระดับราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มโครงการที่บริษัทหันมาพัฒนามากขึ้นจะไม่มีผลกระทบดังกล่าว เพราะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงและเป็นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ทำให้บริษัทไม่มีผลกระทบด้วย และอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทยังต่ำกว่า 10%
ส่วนการขายยูนิตในคอนโดมิเนียมแบบเหมาล็อตให้กับลูกค้าและลูกค้านำไปขายต่อ มีลูกค้าในกลุ่มดังกล่าวได้ซื้อยูนิตห้องแบบเหมาล็อตไปขายต่อซึ่งเป็นโครงการของบริษัท อย่างเช่น โครงการ Quintara Treehaus สุขุมวิท 42 ส่วนใหญ่เป็นเอเจนซี่ต่างชาติเข้ามาซื้อแบบล็อตไปขายต่อให้กับลูกค้าชาวต่างชาติรายอื่น แต่บริษัทถือว่าไม่มีความเสี่ยงในเรื่องดังกล่าว เพราะเอเจนซี่ได้นำไปขายต่อให้กับลูกค้าที่ต้องการซื้ออยู่อาศัยเอง และเป็นกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อทั้งหมด ซึ่งจะไม่กระทบต่อการโอนโครงการดังกล่าวที่มีกำหนดสร้างเสร็จปลายปี 62 หรือต้นปี 63
สำหรับแผนงานในปี 62 เบื้องต้นนั้น บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ 3-4 โครงการ ซึ่งจะเน้นเป็นโครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯใกล้รถไฟฟ้าเป็นหลัก เพื่อเป็นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และมี Backlog ที่จะสามารถรับรู้รายได้ในอนาคต โดยเป็นโครงการระดับกลาง-บน เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง ระดับราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป และเน้นแบรนด์ Quintara เป็นหลัก โดยที่บริษัทมีที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการในปี 62 ไว้บางส่วนแล้ว และวางงบซื้อที่ดิน 1-2 พันล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินในกรุงเทพฯเข้ามาเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเป็นหลัก
ด้านการพัฒนาโครงการในระยองยังคงพัฒนาเป็นโครงการแนวราบ ระดับราคา 3-8 ล้านบาทขึ้นไปต่อเนื่องมาจากโครงการที่พัฒนาแล้ว และยังมีที่ดินเปล่าในจังหวัดระยองอีกราว 1,000 ไร่ ที่สามารถนำมาพัฒนาโครงการได้ แต่บริษัทยังรอความชัดเจนการลงทุนโครงการไนระเบียงเขตเศษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้มีการลงทุนออกมาชัดเจนก่อน จึงจะเริ่มแผนการพัฒนาที่ดินผืนดังกล่าว