น.ส.ทัศน์มน วิทยารักษ์สรรค์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสถาบัน บล.ยูโอบี เคย์เฮียน(ประเทศไทย) กล่าวว่า โผครม.ที่สื่อรายงานออกมาไม่ได้สร้างความประหลาดใจ โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจไม่ได้ทำให้นักลงทุนมองในแง่ negative
และมองว่านายทนงเคยดำรงตำแหน่งรมว.คลังมาก่อนแล้ว สำหรับนายศุภวุฒิ สายเชื้อ ก็มีความรู้ในเรื่องเศรษฐกิจอยู่แล้ว และอยู่ในวงการมาค่อนข้างนาน นักลงทุนจึงยอมรับได้อยู่แล้ว เพราะทุกอย่างต้องทำงานกันเป็นทีมเวิร์กอยู่แล้ว
"ตอนนี้คนอยากมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมากกว่า หลังจากนั้นแล้วรัฐบาลจะเริ่มทำงานได้เมื่อไร ตรงนั้นมากกว่า ใครก็ตามที่มาจัดตั้งรัฐบาลก็ไม่ได้ผิดหวัง"น.ส.ทัศน์มน กล่าว
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะมาดูแลงานด้านเศรษฐกิจ แต่เศรษฐกิจไทยก็จะต้องเดินหน้าต่อไปได้อยู่แล้ว โดยปีหน้าคาดว่าตัวเลข อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยจะเติบโตได้ประมาณ 4.5-5% แต่ก็ยังมีเรื่องที่เป็นอุปสรรคสำคัญคือเศรษฐกิจโลก ทั้งสหรัฐและประเทศอื่นๆ เนื่องจากปี 50 มีปัญหาเรื่องซับไพร์ม และคาดว่ายังมีผลต่อเนื่องไปถึงครึ่งแรกของปี 51 โดยยังน่าจะต้องมีการตั้งสำรองหนี้เสียต่างๆ และดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้าก็ยังไม่น่าจะเคลื่อนไหวไปไกลมากนัก
ด้านนายสาธิต วรรณศิลปิน รองกรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย กล่าวกับ "อินโฟเควสท์" ว่า ตำแหน่งของขุนคลัง ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุดที่จะต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ นอกจากนโยบายแล้ว บุคคลที่จะมาตรงนี้จะต้องได้รับความเชื่อถือในระดับหนึ่ง เพราะเชื่อว่าระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่แบบนี้ รมว.คลังจะต้องเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อมั่นในลำดับที่ 2 ต่อจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ที่ผ่านมานายทนงก็ได้สร้างผลงานไว้อยู่ในระดับที่ดีในช่วงที่เข้ามาดำรงตำแหน่งรมว.คลังในช่วงที่ประเทศเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ ในภาพรวมของ Sentiment ต่อผู้ลงทุนทั่วไปก็น่าจะออกมาเป็นบวก
"ถ้าจำได้เป็นช่วงที่มีการปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง และปรับเปลี่ยนแปลงนโยบายค่าเงินด้วย ก็คงเป็นอะไรที่มีความกล้าหาญพอสมควรที่ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงนโยบายค่าเงินอัตราแลกเปลี่ยนในวันนั้น เชื่อว่าผู้ลงทุนโดยส่วนใหญ่คงมองคุณทนงในระดับดีขึ้นไป"นายสาธิต กล่าว
ส่วนนายศุภวุฒินั้น อาจไม่มีประวัติในเชิงการเมืองมากนัก แต่ในฐานะนักวิชาการด้านตลาดทุนก็เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ที่ติดตามเรื่องเศรษฐกิจเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ลงทุนต่างประเทศ ซึ่งการไม่มีประสบการณ์ด้านการเมืองก็อาจถูกตั้งคำถามทางการเมืองด้วยเหมือนกัน เพราะการเข้าไปบริหารงานรัฐบาลในยุคปัจจุบันจำเป็นอย่างมากที่จะต้องมีประสบการณ์หรือมีแรงเสียดทานที่จะต้านกระแสทางการเมืองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันถือว่าอันนี้ก็ต้องพิสูจน์
นายสาธิต กล่าวว่า กระแสที่ออกมายังเป็นเรื่องของการต่อรองอยู่ดี เพราะภาพรวมคงยังฟันธงไม่ได้ 100% แต่ที่แน่ๆ คือ พรรค พปช.เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้แน่นอน เพียงแต่ส่วนผสมไหนยังเดาได้ยาก แต่ว่าขณะนี้ทั้งสองข้าง คือ ทั้งนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรค พปช.และนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย(ชท.) กำลังเล่นเกมกันอยู่เท่านั้นเอง
ประเด็นขณะนี้ในเรื่องของการเมือง อยากให้ดูตำแหน่งสำคัญๆ 2-3 ตำแหน่ง คือ ตัวนายกรัฐมนตรีจะเป็นนายสมัครหรือไม่ ยังเป็นคำถามที่มีอยู่ทุกวัน ซึ่งนายสมัครมีโอกาสหรือไม่ หรือว่าถ้าไม่ใช่นายสมัครแล้วตัวเลือกที่ 2 คือใครจะเป็นตัวแทนของนายใหญ่ ซึ่งจะมีผลต่อ Sentiment ในระยะสั้นมาก
นอกจากนั้น ก็จะต้องไปดูเรื่องทางการเมืองแล้ว เช่น มหาดไทย หรือกลาโหม ซึ่งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งคือผู้บังคับบัญชาของทหาร ก็ต้องดูว่าบุคคลคนนั้นจะเป็นใคร ได้รับการยอมรับหรือไม่ เข้ามาแล้วสามารถทำให้การเมืองไทยราบรื่นหรือไม่
"คิดว่าอันนี้เป็นจุดเปลี่ยนหลังจากที่เราได้ผ่านการปฏิวัติมานะครับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็เป็นอีกคนหนึ่งในทางการเมืองที่คนจับตาดู ผมคิดว่าทุกอย่างชัดเจนมากสุดหลังการเลือกตั้งรอบ 2 ผ่านไป วันนี้ยังเป็นลักษณะของการพยายามจับขั้วหรือถามทางไปก่อน แต่สุดท้ายแล้ว ผมเชื่อว่าไม่มีใครฟันธงได้ร้อยเปอร์เซนต์ มีแต่การคาดเดา" นายสาธิต กล่าว
นายสาธิต กล่าวอีกว่า หลังจากที่ได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะรับผลจากปัจจัยทางการเมืองในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะน้ำหนักการลงทุนส่วนใหญ่น่าจะอิงไปในทิศทางของการตลาดโลกมากกว่า เพราะทุกวันนี้มีความผันผวนมาก ทั้งทิศทางของราคาน้ำมัน, เรื่องเศรษฐกิจของสหรัฐ, ทิศทางอัตราเงินเฟ้อ และอัตราแลกเปลี่ยน
"เชื่อว่าปีนี้ทั้งปีการที่ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องสูง ดีขึ้นมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดโลกได้เปลี่ยนไป ทำให้มีการ diversify พอร์ตลงทุนมาลงทุนในตลาดภูมิภาคหรือตลาดอื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์ฯเท่านั้นเอง" นายสาธิต กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--