นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย (KTAM) กล่าวว่า บริษัทเตรียมเสนอขายครั้งแรก (IPO) กองทุนเปิดกรุงไทย เอไอ เบรน (KT-Brain) ในวันที่ 2-11 ต.ค.61 มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท เงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท โดยมีนโยบายเน้นการลงทุนหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และหรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น่อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนจะคัดเลือกหลักทรัพย์ผ่านโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัทจัดการในการใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจากข้อมูลทางการเงินเป็นรายบริษัท หลังจากนั้นระบบจะทำการคัดเลือกทรัพย์ และจัดการพิอร์ตการลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนดดยรวมให้เหนือกว่าดัชนีอ้างอิง (SET Total Return INdex : SET TRI)
กองทุน KT-Brain จะใช้ AI ในการคัดเลือกหุ้นซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนใน SET และหรือ mai ที่มีอยู่จำนวน 731 หลักทรัพย์ โดยคัดเลือกหุ้นจากข้อมูลอัตราส่วนทางการเงินต่างๆที่จะส่งผลต่อราคาหุ้น เช่น อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไร อัตราส่วนสภาพคล่อง และอัตราส่วนประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เป็นต้น ซึ่งระบบจะทำการหาหลักทรัพย์ที่สร้างการเติบโตที่ดีให้กับเงินลงทุนเป็นหลัก โดยที่ AI จะมีความรวดเร็วในการวิเคราะห์ข้อมูลของบริษัทต่างๆได้รวดเร็วกว่ามนุษย์ และยังสามารถขจัดเรื่องอารมณ์ในการตัดสินใจได้อีกด้วย
บริษัทได้มีการจำลองโมเดลการลงทุน และทำการแบบจำลองการลงทุนย้อนหลัง 5 ปี (ก.ค. 56- มิ.ย. 61) กองทุนสามารถให้ผลตอบแทนรวม 63.99% SET TRI อยู่ที่ 9.90% แต่ยังมีผู้จัดการกองทุนที่มีหน้าที่ตรวจสอบการลงทุน รายชื่อหลักทรัพย์ รวมไปถึงการทำการซื้อ-ขาย เพื่อ ให้สอดคล้องกับนโยบายการลงทุนที่เป็นไปตามเกณฑ์การลงทุน แต่หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปกติขึ้นผู้จัดการกองทุนสามารถแทรกแซงระบบได้ เพื่อบริหารความเสี่ยงของกองทุน
"เราเชื่อว่ากองทุน KT-Brainใช้วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน จะไม่มีการใช้อารมณ์ในการลงทุน ถึงจุดที่ขายก็ขาย กองนี้เป็นทางเลือกใหม่"นางชวินดา กล่าว
นายวีระ วุฒิคงศิริกูล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานจัดการกองทุน ของ KTAM กล่าวว่า กองทุนนี้จะใช้ AI ประมวลผลจากงบการเงิน 16 ไตรมาสย้อนหลัง ที่เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ในจำนวนกว่า 700 บริษัท รวมทั้งใส่ข้อมูล ความผันผวน มูลค่า และหุ้นที่ส่วนใหญ่ละเลย เช่น หุ้น Turnaround โดยสภาพคล่อง ต้องมีมากพอ ทั้งนี้กองทุนนี้จะเน้นดูรายตัว คาดว่าจะลงทุน 40-50 หุ้น โดยจะลงทุนแต่ละตัวไม่เกิน 10% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ(NAV) โดยส่วนใหญ่หุ้นอยู่ใน SET ประมาณ 80-90% ส่วนหุ้น mai มีประมาณ 5-10%
สำหรับแนวโน้มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ไตรมาส 4/61 คาดว่าขยายตัวได้ราว 4% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน โดยเป็นการชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกที่ 4.6% และไตรมาส 3/61 ที่ 4.3% เพราะดีมานด์ต่างประเทศชะลอตัว แต่ในช่วงที่เหลือของปีนี้เศรษฐกิจไทยจะถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐ
โดย GDP ที่กระจายตัวประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่ค่อยๆเร่งตัวขึ้น ทำให้บริษัทคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงเดือน ธ.ค.นี้ และคาดว่าตลอดทั้งปี 62 จะมีการปรับขึ้นอัตราดกอเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง
ขณะที่มุมมองเป้าหมายดัชนี SET ในสิ้นปีนี้ลดลงมาเป็น 1,780 จุด ซึ่งประเมินการขยายตัวของกำไรของตลาดโดยรวมไว้ที่ 10% และปรับ P/E ลงสุ่ระดับ 16.4 เท่า ต่ำกว่า P/E ของปี 60 เล็กน้อย ทำให้ปรับเป้าหมายดัชนี SET ในสิ้นปีนี้ลง ซึ่งจากสถิติย้อนหลังมีโอกาสสูงที่ในไตรมาส 4 จะเป็นไตรมาสสำหรับการลงทุนของปี โดยจะเห็นตลาดหลักทรัพย์มีแนวโน้มเป็นบวกมากกว่าลบ เป็นไปตามการคาดการณ์ที่ดีของนักลงทุนที่มีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในปี 62
แม้ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 62 ที่บริษัทประเมินไว้จะขยายตัวได้ 4.2% ลดลงจากปีนี้ที่ 4.5% แต่ยังคงสามารถขยายตัวได้ และการเติบโตของกำไรสุทธิในปี 62 ประเมินว่าจะเติบโตได้ 10% และยังมีการเข้ามาเก็งกำไรหุ้นที่ได้รับผลดีจากการเลือกตั้งที่คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงเดือน ก.พ.62 เข้ามาช่วยหนุน และคาดว่าจะเห็นดัชนีค่อย ๆไต่ระดับขึ้นไปจาก 1,730 จุด และกลับมาที่ระดับ 1,800 อีกครั้ง ช่วง 1,800-1,820 จุด ในปี 62
"ตลาดหุ้นในไตรมาส 4 นี้ คาดว่า Sideway Up สิ้นปีมองดัชนี SET ที่ 1,780 จุด เพราะเห็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทยอยขึ้น แต่หนี้สาธารณะขึ้นไม่เยอะ รัฐวางไว้ไม่เกิน 60% เพราะหลายโครงการก็ให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) ส่วนเรื่อง Trade War รับรู้ไปบ้างแล้ว เรื่องเลือกตั้งก็รับรู้ไปแล้ว"นายวีระ กล่าว