ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร ECLที่ "BBB-" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 4, 2018 12:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง (ECL) ที่ระดับ "BBB-"

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของสินเชื่อรถมือสอง ตลอดจนผลกำไรและฐานทุนที่แข็งแรง อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงจากความเสี่ยงจากปัจจัยต่าง ๆ ความสามารถในการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทซึ่งต้องอาศัยเวลาในการพิสูจน์ความสำเร็จ ความมีเสถียรภาพในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งรักษาผลประกอบการทางการเงินให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสินเชื่อของบริษัท

นอกจากนี้ บริษัทยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจให้บริการสินเชื่อรถยนต์ อีกทั้งบริษัทยังมีความอ่อนแอในสถานะทางการตลาดเมื่อพิจารณาจากสินเชื่อคงค้างและความยืดหยุ่นทางการเงินเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งรายใหญ่ ๆ

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

บริษัทเน้นสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อรถจักรยานยนต์มือสองขนาดใหญ่ (บิ๊กไบค์) ยอดสินเชื่อคงค้างของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 3,949 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2560 จาก 2,457 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2559 คิดเป็นอัตราการเติบโตเท่ากับ 61% สินเชื่อใหม่ประเภทบิ๊กไบค์นั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 บริษัทมียอดสินเชื่อรถคงค้างเติบโต 21% จากสิ้นปีก่อนหน้า หรือเท่ากับ 4,761 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยสินเชื่อรถยนต์ในสัดส่วน 44% รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ 39% รถบรรทุกและรถประเภทอื่น ๆ 16% และสินเชื่อ Floor Plan อีก 1% ท่ามกลางภาวะการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรง บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่ค่อนข้างอ่อนแอโดยพิจารณาจากสินเชื่อคงค้าง เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งรายใหญ่จากฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง

พื้นที่การให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อของบริษัทค่อนข้างกระจุกตัวเมื่อเทียบกับคู่แข่งโดยบริษัทให้บริการที่สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ และสาขาอีกเพียง 5 สาขาในเขตปริมณฑลและภาคตะวันออกเท่านั้น ในไตรมาสแรกของปี 2561 บริษัทได้เริ่มดำเนินธุรกิจให้สินเชื่อจำนอง ขายฝาก ทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นสินทรัพย์ประเภทที่มีสภาพคล่องน้อยกว่าเมื่อเทียบกับยานพาหนะ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะใช้เกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างรอบคอบและขยายสินเชื่ออย่างระมัดระวัง

คุณภาพสินเชื่อยังอาศัยเวลาในการพิสูจน์ อันดับเครดิตตั้งอยู่บนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทจะยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ คุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้นมีผลบางส่วนมาจากการเติบโตอย่างมากของสินเชื่อรวมของบริษัท โดยอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อค้างชำระเกิน 90 วัน) ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทลดลงเป็น 2.5% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 จาก 2.8% ณ สิ้นปี 2560 ถึงแม้ว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะปรับตัวลดลง ทริสเรทติ้งยังมีความกังวลเนื่องจากการขยายตัวอย่างมากของสินเชื่อในกลุ่มบิ๊กไบค์ซึ่งมีการเติบโตเมื่อไม่นานมานี้ ยังต้องอาศัยเวลาในการพิสูจน์ความสามารถในการบริหารจัดการและควบคุมคุณภาพสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

อัตราค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญอยู่ในระดับต่ำ อัตราค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทต่ำกว่าคู่แข่ง ด้วยค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่มากกว่า 50% โดยสัดส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ที่ประมาณ 27% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 ทริสเรทติ้งเห็นว่าอัตราค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของบริษัทเป็นอัตราที่ไม่มากพอที่จะทำให้บริษัทสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนในทางลบจากสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ อย่างไรก็ตาม ฐานทุนที่แข็งแรงของบริษัทถือว่ามีเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงดังกล่าวได้ และการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับมาตรฐานบัญชีใหม่อาจจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทได้เช่นกัน

ผลกำไรปรับตัวดีขึ้น ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่ง ผลประกอบการทางการเงินของบริษัทค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นจากพอร์ตสินเชื่อที่มีการขยายตัวอย่างมาก กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 129 ล้านบาทในปี 2560 หรือเพิ่มขึ้น 90% จาก 68 ล้านบาทในปี 2559 (ไม่รวมผลขาดทุนจากการจำหน่ายหุ้นในราคาต่ำกว่าตลาดให้แก่ Premium Financial Services Co., Ltd. จำนวน 42.75 ล้านบาท) บริษัทรายงานผลกำไรสุทธิ 62 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 3.9% ในปี 2560 จาก 3% ในปี 2559 และปรับลดลงเล็กน้อยเป็น 2.5% (ปรับอัตราส่วนเป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถควบคุมให้ต้นทุนทางการเงิน ตลอดจนคุณภาพสินทรัพย์ และต้นทุนในการดำเนินงานเพื่อส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไปตามที่คาดการณ์

สภาพคล่องอยู่ในระดับปานกลางแต่ความยืดหยุ่นทางการเงินค่อนข้างน้อย ทริสเรทติ้งคาดว่าสถานะสภาพคล่องของบริษัทจะดำรงอยู่ในระดับปานกลางในอีก 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทมีโครงสร้างเงินทุนที่สอดคล้องกับโครงสร้างสินเชื่อเช่าซื้อ กระแสเงินสดรับที่คาดว่าบริษัทจะได้รับในแต่ละปียังคงสูงกว่าภาระหนี้ที่ต้องจ่ายตามกำหนด ณ เดือนสิงหาคม 2561 บริษัทมีส่วนต่างทางด้านระยะเวลาระหว่างสินทรัพย์และหนี้สินภายในระยะ 1 ปีเป็นบวก การชำระคืนสินเชื่อจากลูกหนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาทในขณะที่ภาระการชำระคืนหนี้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

บริษัทมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินใหญ่หลายแหล่ง อย่างไรก็ตาม การขยายฐานสินเชื่อในเชิงรุกจะเป็นความท้าทายที่สำคัญของบริษัท เนื่องจากวงเงินกู้ยืมจากธนาคารได้รับการค้ำประกันโดยการโอนสิทธิลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อบางส่วนไว้ จึงทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินน้อยกว่าคู่แข่งรายสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่บริษัทต้องเผชิญกับปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน

ภาระหนี้ปรับตัวสูงขึ้น ภาระหนี้ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพื่อใช้ในการขยายสินเชื่อ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนอยู่ที่ 1.98 เท่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 ซึ่งต่ำกว่าข้อกำหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้ถือหุ้นกู้ที่ต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนไม่เกิน 3 เท่า ภาระหนี้ของบริษัทที่ระดับนี้จึงถือว่าอยู่ในระดับเพียงพอที่จะช่วยให้บริษัทสามารถขยายพอร์ตสินเชื่อต่อไปได้ในระยะปานกลาง ทริสเรทติ้งยังหวังว่าบริษัทจะสามารถดำรงฐานทุนที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเอาไว้ได้ การขยายฐานสินเชื่อในเชิงรุกจะเป็นความท้าทายที่สำคัญของบริษัท

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดและมีผลประกอบการทางการเงินที่แน่นอนและมั่นคงไปพร้อมกับการรักษาฐานทุนให้แข็งแกร่งเอาไว้ได้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมและรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง การปรับเพิ่มอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตมีข้อจำกัดในระยะกลางจากการขยายตัวอย่างมากของสินเชื่อของบริษัทเมื่อไม่นานมานี้ โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากสถานะทางธุรกิจแข็งแรงขึ้นและส่งผลให้สถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแรงขึ้นด้วย สถานะเครดิตของบริษัทอาจได้รับผลกระทบในเชิงลบหากคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทเสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งส่งผลทำให้ความสามารถในการทำกำไรและฐานทุนของบริษัทถดถอยลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ