นายชลณัฐ ญาณารณพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจเคมิคอลส์ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า แนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ HDPE และ PP กับแนฟทา จะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนเล็กน้อย เป็นผลจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และคำสั่งซื้อเม็ดพลาสติกที่ปรับตัวลดลง จากความกังวลผลกระทบสงครามการค้าระหว่างจีนและประเทศสหรัฐ
ปัจจุบันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ PP และ HDPE อยู่ที่ราว 600 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรกที่อยู่ในระดับ 700 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยได้รับผลกระทบจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นมากว่า 10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยคาดการณ์ว่าราคาน้ำมัน ณ สิ้นปี จะอยู่ที่ 74-75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับราคาขายให้สะท้อนกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับได้มุ่งเน้นขายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงมากขึ้น (HVA) โดยปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้อยู่ราว 31% โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ดังกล่าวขึ้น 1-2% ต่อปี
"แม้ว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์จะปรับตัวลดลง แต่บริษัทได้มีการปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่สูงขึ้นด้วย ประกอบกับเน้นการขายสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยต่อปี 1-2% และยังได้มองหาวิธการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย"นายชลณัฐ กล่าว
นายชลณัฐ กล่าวเพิ่มเติมถึงการพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ หรือ Floating Solar Farm ในพื้นสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในโครงการทดลองภายใน เอสซีจี เคมิคอลส์ จ.ระยอง โดยปัจจุบันมีผู้สนใจเข้ามาเจรจาเพื่อที่จะลงทุนในรูปแบบเดียวกัน ทั้งในภาคเอกชน และภาครัฐบาล อาทิเช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ให้ความสนใจและต้องการที่จะลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ ในพื้นที่เขื่อนต่างๆเพื่อที่จะบริหารจัดการด้านพลังงานทดแทนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับประเทศไทยประเมินว่ามีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำอยู่ราว 6% หรือ 3,000 เมกะวัตต์
"ปัจจุบันอยู่ในช่วงของการพัฒนาโครงการเพื่อให้สามารถขยายได้จริง และในพื้นที่ที่มีความแตกต่างไปจากในโครงการทดลอง ซึ่งในอนาคตเราก็หวังว่าจะเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่สามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์และมีรายได้เข้ามายังบริษัท"นายชลณัฐ กล่าว