นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซันสวีท (SUN) กล่าวว่า บริษัทวางเป้าหมายในช่วง 3-5 ปีต่อจากนี้หาสินค้าที่เพิ่มมูลค่า โดยได้เริ่มลงทุนวิจัยและพัฒนาร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อที่พัฒนาสินค้าอาหารในอนาคตที่ทำจากข้าวโพดหวาน อาทิ อาหารสำหรับเด็ก อาหารสำหรับผู้สูงอายุ อาหารสำหรับเพศหญิงที่ต้องการรักษาสุขภาพ และอาหารที่ใช้สำหรับการรักษาและเยียวยาโรค
ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมกับศึกษาตลาด และความเป็นไปได้ในการลงทุน เพื่อจะให้สินค้าใหม่เข้ามาสนับสนุนการเติบโตในระยะ 2-3 ปีข้างหน้านี้ รวมทั้งอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรในโซนเอเชียราว 2-3 รายเพื่อร่วมลงทุนต่อยอดธุรกิจ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปี 62
ส่วนต่อไปที่จะเข้ามาสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตนั้น บริษัทจะมุ่งพัฒนาระบบการขนส่งที่มีความสำคัญกับการจำหน่ายสินค้า รวมไปถึงการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าชีวมวล ด้วยการนำกากที่เหลือจากข้าวโพดหวานเข้ามาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า โดยยังคงต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาต่อจากโครงการเพิ่มสินค้าในอนาคตที่อยู่ระหว่างพัฒนา
"ในแง่ที่ผมเป็นผู้ประกอบการในปัจจุบัน เราก็จะทำในแง่ของฐานหลักเดิมให้แข็งแกร่ง มีเสถียรภาพและมั่นคง ในแง่ของวัตถุดิบไม่แน่นอนเราจะปิดความเสี่ยงอย่างไร การผลิตที่ไม่สม่ำเสมอจะทำอย่างไรให้สม่ำเสมอ กับการซื้อที่เมื่อก่อนเป็นการซื้อแบบเป็นฤดูกาล มาเป็นการซื้อให้สอดรับกับการผลิต ซึ่งใน 3 ปี ที่ผ่านมาเราได้ทำมันแล้ว เรื่องการเงินเรื่องต้นทุนต่าง ๆ เราก็มีความเปลี่ยนแปลงมายังจุดที่ดีขึ้น ต่อจากนี้ไปสินค้าที่อาหารสำหรับอนาคตจะเข้ามาเป็นตัวเปลี่ยนที่สำคัญของบริษัทอาหารเกษตรจะไม่ใช่แล้วแต่ลมฟ้าอากาศ จุดนี้เรากำลังจะเดินไป"นายองอาจ ให้สัมภาษณ์กับ"อินโฟเควสท์"
สำหรับผลประกอบการในปีนี้ นายองอาจ กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่ต่ำกว่า 10% หรือมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,800 ล้านบาท โดยทิศทางในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตได้ดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก เป็นผลมาจากการที่บริษัทได้เน้นการบุกตลาดลูกค้าใหม่ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศโซนเอเชียมากขึ้น ขณะที่ลูกค้าเดิมก็มีความต้องการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นด้วย หลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยเฉพาะญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน รวมทั้งตลาดในกลุ่มสหภาพยุโรปฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด
ปัจจุบันที่บริษัทมีสัดส่วนการส่งออกสูงถึง 80% และตลาดในประเทศ 20%
และหลังจากที่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ทำให้บริษัทมีความน่าเชื่อถือและเป็นที่รู้จักมากขึ้น นอกเหนือไปจากการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) มาใช้ในการขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตในช่วงที่ผ่านมา ทำให้สามารถผลิตและจำหน่ายได้มากขึ้น ขณะที่เงินบาทเองอ่อนค่าลงมาได้ค่อนข้างมาก โดยอยู่ที่ราว 32.50-33.00 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เห็นการฟื้นตัวที่ดีเริ่มจากไตรมาส 3/61
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ทางบริษัทยังคงติดตามอยู่อย่างต่อเนื่องคือสงครามทางการค้าระหว่างประเทศจีน และประเทศสหรัฐ จะส่งผลกระทบอย่างไรกับประเทศไทย และจะส่งผลประกระทบอย่างไรกับบริษัท ซึ่งหากไม่ได้รับผลกระทบในแง่ลบก็เชื่อว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม โดยที่ส่วนตัวมองว่าจะไม่กระทบต่อประเทศไทยมากนัก เนื่องจากประเทศไทยยังมีขนาดตลาดที่เล็ก แต่อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศจีนบ้าง ซึ่งบริษัทยังไม่ได้มีการนำผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นมารวมกับการประเมินทิศทางผลประกอบการของบริษัทในขณะนี้
"ไตรมาส 1/61 เราได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งมากเกินไป โดยขึ้นมาถึงราว 31 บาท/ดอลลาร์ และเราได้มีการนำเงินจาก IPO เข้ามาติดตั้งเครื่องจักร และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ในช่วงนั้นทำให้เราผลิตน้อยไปหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าที่เราคาดไว้ เพราะปกติช่วงต้นปีจะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น พอมาไตรมาส 2/61 ก็ค่อยๆปรับตัวดีขึ้น ก็จะเห็นว่ากำไรเพิ่มขึ้น
ขณะที่ช่วงไตรมาส 3/61 ผลประกอบการทั้งในแง่ของรายได้ และกำไรก็จะปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะเห็นว่าอัตรากำไรสุทธิจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกที่ทำได้เพียง 2.86% และเป้าหมายต่อไปคือการทำให้กลับมาอยู่ในระดับเดิม หรือมากกว่าเดิมที่ 6.96% ด้วยการเน้นการบริหารจัดการต้นทุน"นายองอาจ กล่าว
อนึ่ง SUN แจ้งผลประกอบการไตรมาส 2/61 มีกำไรสุทธิ 21.06 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 30.49 ล้านบาท ขณะที่ปี 60 มีกำไร 117.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีกำไร 111.67 ล้านบาท
นายองอาจ กล่าวต่อว่า สำหรับกำลังการผลิตที่มีอยู่ในปัจจุบัน และการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดให้เพียงพอต่อการผลิต จะสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทเต็มที่ราว 3,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งจะสามารถรองรับการเติบโตไปถึงปี 63 โดยปัจจุบันบริษัทถือว่าอยู่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของผู้ผลิตผลิตภัณฑ์จากข้าวโพดหวานของไทย ขณะที่ขนาดของตลาดโลกปัจจุบันที่มีการซื้อขายกันอยู่ที่ราว 40,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นมูลค่าตลาดของไทยราว 7,000 ล้านบาท และสินค้าบริษัทมีความโดดเด่นในตลาดประเทศโซนเอเชีย โดยเฉพาะญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะเข้าไปบุกตลาดจีน อินโดนีเซีย และอินเดีย เพิ่มเติม เนื่องจากมองว่ากำลังซื้อในประเทศเหล่านี้เริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหันมาเลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น ขณะที่ตลาดรัสเซียเองก็เริ่มมีความเสถียรภาพของค่าเงินที่มากขึ้น บริษัทจึงมีแผนที่จะเข้าไปบุกตลาดเพิ่มเติมด้วย ซึ่งการขยายไปยังประเทศใหม่ๆมากขึ้นจะช่วยกระจายความเสี่ยงไปยังพื้นที่ที่มีความหลากหลาย
นายองอาจ ยังกล่าวถึงราคาหุ้น SUN ที่ยังซื้อขายกันต่ำกว่าราคา IPO ที่ 5.85 บาท ว่า ในแง่ของธุรกิจอาหาร และส่งออกภาคการเกษตร ผลประกอบการคงไม่ได้หวือหวามากนัก แต่มีการเจริญเติบโตที่มีความมั่นคง โดยอนาคตยืนยันว่าผลประกอบการจะออกมาดีขึ้น แต่คงต้องใช้เวลาบ้าง
"ช่วงที่เข้าตลาดฯกับช่วงที่กำลังเดินนั้นอาจเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมนัก แต่ว่าเราการดำเนินงานต่างๆ กับเป้าหมายของเรามีความชัดเจนมากๆ หุ้นตัวนี้จึงเป็นหุ้นแห่งการลงทุนที่เหมาะสม และเจ้าของกิจการก็ถือหุ้นอยู่ไม่น้อย ซึ่งเราก็ตั้งใจที่จะทำให้กลับคืนมาในสภาพที่มันควรจะเป็น และจะเติบโตมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะหลังจากที่เราเข้า IPO แล้วระบบการทำงานต่างๆเราเปลี่ยนแปลงไปแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญที่จะผลักดันให้เราเติบโตไปข้างหน้า เราเชื่อมั่นว่าไม่เกิน 3 ปีต่อจากนี้ ความเชื่อมั่นขององค์กรจะมีการเติบโต ความรุ่งเรือง ความมั่นคงสูงมาก และในส่วนของนโยบายของการปันผลเรายังคงไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ"นายองอาจ กล่าว
https://youtu.be/k1_zgYPtWlg