นายวิทการ จันวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กร และการสร้างสรรค์ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP) เปิดเผยว่า บริษัทจะไม่เร่งการโอนโครงการในช่วงไตรมาส 4 ปี 61 ก่อนมาตรการใหม่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 62 เพราะหากเร่งการโอนในช่วงที่เหลือของปีนี้มากจนเกินไป จะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายยอดโอนในปี 62 ซึ่งทำให้บริษัทจะต้องทำงานหนักและมีแรงกดดันมากขึ้น ซึ่งการโอนยังคงปล่อยให้เป็นไปตามแผน เพื่อทำให้เป้าหมายรายได้ในปีนี้เป็นไปตามที่ตั้งไว้ 2.81 หมื่นล้านบาท
ด้านอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทในปัจจุบันยังคงทรงตัวอยู่ในระดับที่ 12-15% ซึ่งอัตราการปฏิเสธสินเชื่อส่วนใหญ่อยู่ในระดับโครงการที่ระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนที่น้อยมากแล้ว และระดับราคาโครงการที่บริษัทพัฒนาส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเริ่มต้นที่ราคาตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป
สำหรับผลกระทบหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เตรียมออกมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อบ้านหลังที่ 2 และบ้านที่มีราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยการกำหนดวงเงินให้สินเชื่อลดลงเหลือไม่เกิน 80% หรือต้องวางเงินดาวน์ 20% นั้น มองว่ามีผลกระทบเพียงเล็กน้อยกับบริษัท เนื่องจากสัดส่วนที่อยู่อาศัยของบริษัทที่พัฒนาในระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปมีสัดส่วนที่น้อยมากเพียง 2-3% และกลุ่มลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทตั้งแต่ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่มีกำลังซื้อ และใช้เงินสดในการซื้อเป็นส่วนใหญ่ และมีกลุ่มลูกค้าในกลุ่มเวลท์ของสถาบันการเงินที่มีมูลค่าสินทรัพย์ในระดับ 50 ล้านบาทขึ้นไปที่เข้ามาซื้อ ซึ่งมาตรการดังกล่าวอาจทำให้กระทบกับการขายโครงการในระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไปบ้าง แต่เชื่อว่าไม่กระทบภาพรวมของบริษัทมากนัก
โดยสัดส่วนที่อยู่อาศัยของบริษัทที่พัฒนาและอยู่ระหว่างการขายกว่า 90 โครงการในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นโครงการระดับราคา 5-7 ล้านบาท สัดส่วน 80% ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม โดยการวางเงินดาวน์ของโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียมของบริษัทมีการวางเงินดาวน์ในระดับที่ใกล้เคียงกับมาตรการใหม่ของ ธปท. ซึ่งโครงการแนวราบวางเงินดาวน์ 15-20% และโครงการคอนโดมิเนียมวางเงินดาวน์ 20% จึงทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทมากนัก เพียงแต่ในบางโครงการที่อาจจะมีเงินดาวน์ไม่ถึงตามเกณฑ์ ซึ่งลูกค้าจะต้องมีการปรับตัวเล็กน้อย
พร้อมระบุว่า การที่ ธปท.เข้ามาควบคุมในเรื่องการปล่อยสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์นี้ มองว่าเป็นเรื่องที่ดีแก่ภาคอสังหาฯ เองที่จะเติบโตไปได้อย่างยั่งยืน และลดความร้อนแรงที่เกิดขึ้นในภาคอสังหาฯ ในปัจจุบันลงได้บ้าง และทำให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องเข้ามาอยู่ในกรอบมากขึ้น โดยสิ่งที่น่ากังวลมากที่สุด คือ การที่ธนาคารพาณิชย์จะให้สินเชื่อประเภทอื่น ๆ แก่ลูกค้าในการกู้บ้าน เช่น สินเชื่อส่วนบุคคลที่เข้ามาเสริม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการตกแต่งบ้าน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้ามีภาระหนี้สินเพิ่มมากขึ้น
"มาตรการ LTV ของแบงก์ชาติที่จะมีผลบังคับใช้ในต้นปีหน้า มองว่าจะทำให้การทำงานของเราในปีหน้ายากขึ้นเล็กน้อย แต่จริง ๆ การทำงานก็ยากขึ้นในทุก ๆ ปี แต่พอมีมาตรการใหม่เข้ามาก็ต้องมีการพิจารณาการพัฒนาโครงการและบริหารจัดการด้านการโอนให้ดี ซึ่งไม่ใช่แค่กระทบ AP เพียงรายเดียว แต่ทุกๆ รายก็กระทบไปด้วย ซึ่งเราก็เป็น 1 ในผู้นำตลาด แต่เราก็ยังมั่นใจว่าจะสร้างผลการดำเนินงานในปีหน้าให้เติบโตขึ้นได้ ซึ่งเราก็เน้นการเติบโตของกำไรและรายได้เป็นหลัก" นายวิทการกล่าว