นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก กรณีสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ซึ่งเริ่มเห็นผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม หลังจากที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.ย.ของจีนชะลอตัวลง และต่อเนื่องด้วยการที่ธนาคารกลางจีนประกาศปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ซึ่งคาดว่าจะเป็นนโยบายที่ช่วยกระตุ้นภาพเศรษฐกิจของจีนให้อยู่ในระดับที่ดี
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังจับตาการประกาศผลประกอบการของบจ.ที่จะเริ่มทยอยออกในช่วงนี้ และตลาดหุ้นไทยล่าสุดมี P/E ต่ำกว่า 16 เท่า และปีหน้าคาดว่าจะอยู่ราว 15 เท่า ก็จะยังเป็นปัจจัยที่ช่วยดึงดูดเงินลงทุนให้ไหลกลับเข้ามาบ้าง ทำให้ภาพ Downside ของตลาดหุ้นไทยน่าจะยังอยู่ในกรอบจำกัด ส่วนแรงขายของนักลงทุนต่างชาติคาดว่าจะยังคงมีอยู่แต่เชื่อว่าจะอยู่ในระดับที่ชะลอตัวลง
พร้อมให้แนวรับที่ 1,680 จุด และแนวต้านที่ 1,710 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (8 ต.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,486.78 จุด เพิ่มขึ้น 39.73 จุด (+0.15%) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,884.43 จุด ลดลง 1.14 จุด (-0.04%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,735.95 จุด ลดลง 52.50 จุด (-0.67%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 233.25 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 2.78 จุด,ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 8.40 จุด,ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 8.46 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 0.85 จุด,ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 2.72 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 13.09 จุด
ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการเนื่องในวันภาษาเกาหลี
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (8 ต.ค.61) อยู่ที่ 1,696.22 จุด ลดลง 24.30 จุด (-1.41%)
- นักลงทุนต่างชาติต่างชาติขายสุทธิ 2,605.69 ล้านบาท เมื่อวันที่ 8 ต.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (8 ต.ค.61) ปิดที่ 74.29 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 5 เซนต์ หรือประมาณ 0.09%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (8 ต.ค.61) ที่ 5.18 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.89 กลับมาแข็งค่าจากวานนี้ตามภูมิภาคหลังดอลล์อ่อน จับตาค่าเงินหยวน-Fund Flow
- โบรกเกอร์ ระบุตลาดหุ้นไทยร่วง 24 จุดเมื่อวานนี้ กังวลสงครามการค้ามีผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีน หลังปรับลดเงินสำรองฯ และผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดรอบ 7 ปี ส่งผลเงินไหลออกตลาดหุ้นไทยและตลาดเกิดใหม่ ด้านสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนอีก 3 เดือน อยู่ในเกณฑ์ร้อนแรงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน รับข่าวเลือกตั้ง ขณะที่ผลสำรวจนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ให้เป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย สิ้นปีนี้แตะ 1,818 จุด ลุ้น 3 เดือนสุดท้าย มีเงินไหลเข้า LTF -RMF อีก 4 หมื่นล้านบาท
- กพท.เผย พ.ค.62 FAA เตรียมตรวจประเมินอย่างเป็นทางการในการแก้ไขข้อบกพร่อง (SSC) ด้านการบิน ระบุปี 61 เร่งแก้ที่เหลือได้อีกอย่างน้อย 300 ข้อจากทั้งหมด 466 ข้อ คาด FAA ปรับเกรดไทยขึ้น CAT1 "อาคม" สั่งการบินไทยเตรียมแผน เปิดบินเข้าอเมริกาเพื่อเจาะตลาดใหญ่
- "สมคิด" เร่งคมนาคมดันเมกะโปรเจกต์ ให้เสร็จก่อนเลือกตั้งทั้งเร่งประมูลรถไฟฟ้า 2 เส้นทาง"ม่วงใต้-ส้มตะวันตก" ภายในปลายปีนี้ พร้อมขีดเส้นการบินไทยจัดหาเครื่องบินใหม่ภายใน 30 วัน หากทำไม่ได้ปลดบอร์ดยกชุด ด้าน "อาคม" เด้งรับดัน 20 โครงการยักษ์ วงเงินกว่า 1 ล้านล้านบาท ภายในเดือน ม.ค.62
- ประธานหอการค้าไทย-จีน เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์ยอดขายทองคำในประเทศปรับตัวลดลง 5-10% เนื่องจากผลกระทบของสงครามการค้าสหรัฐและจีน ที่ทำให้รายได้ของแรงงานภาคการส่งออกและธุรกิจลดลง ส่งผลให้ประชาชนเริ่มเก็บเงินสดแทนที่จะซื้อทองคำหรือลงทุนในสินทรัพย์อื่นเพราะไม่มั่นใจสถานการณ์เศรษฐกิจไทยว่าจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ารุนแรงเพียงใด
- ธอส.สำรวจราคาขายโครงการที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไม่นับรวมที่อยู่อาศัยมือสอง พบดัชนีราคาห้องชุดใหม่ (คอนโดมิเนียม) ไตรมาส 3/61 ในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ เท่ากับ 143 จุด เพิ่มขึ้น 11% เทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตของราคาคอนโดมิเนียมสูงสุดนับตั้งแต่ปี 57 ขณะเดียวกันราคาก็เพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว โดยเป็นผลจากมีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าเส้นทางใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลคืบหน้าไปมาก จึงทำให้โครงการคอนโดฯเปิดตัวใหม่ไตรมาสนี้ขยับราคาสูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนในหลายพื้นที่
*หุ้นเด่นวันนี้
- BCH (เอเอสแอล) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 21.10 บาท หลังคาดผลงาน H2/61 เติบโตรับ High Season ทั้งรายได้และกำไรสุทธิ QoQ และ YoY จากช่วงครึ่งหลังของปีเป็นฤดูฝนและโรคระบาดที่ค่อนข้างมีความรุนแรง และการเติบโตต่อเนื่องของ WMC โดยเชื่อจะสามารถคงลูกค้าเก่าและเพิ่มลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่องผ่านทางสำนักงานตัวแทนและเอเจนซี่ ขณะที่รายได้ประกันสังคมและผู้ประกันตนก็จะปรับตัวดีขึ้นจากการปรับปรุงและขยายสาขาเพิ่ม อีกทั้งใน ต.ค.จะเปิด รพ.เกษมราษฎร์ รามคำแหง อย่างเป็นทางการ อีกทั้งมีโครงการคลีนิคเด็กหลอดแก้วเริ่มใน Q4/61 และมีตลาดใหม่อย่างโครงการตรวจสุขภาพประจำปีของครูและบุคลากรทางการศึกษากับกระทรวงศึกษาธิการ และในปี 63 จะมีโรงพยาบาลเปิดใหม่อีก 3 แห่ง
- BLA (กรุงศรี) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 42 บาท คาดได้ผลบวกจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) ที่สูงขึ้น เนื่องจากพอร์ตการลงทุนส่วนใหญ่ของธุรกิจประกันจะอยู่ในพันธบัตร หาก Bond yield สูงขึ้นจะทำให้กำไรจากพอร์ตลงทุนสูงขึ้นตามไปด้วย
-KTC (เคทีบีฯ) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 40 บาท โดยคาดกำไร Q3/61 ดี 1,410 ล้านบาท (+67%YoY และ +8%QoQ) ตามสินเชื่อโต 10%YoY และ 3%YTD เป็นผลจากสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 8%YTD เป็นหลักตามการออกโปรโมชั่น แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของสินเชื่อส่วนบุคคลเพื่อชดเชยการขยายตัวของบัตรเครดิตที่มีการแข่งขันที่สูง และการควบคุมอัตราผลตอบแทนของ ธปท.ที่ 18% จึงปรับอัตราการขยายตัวของสินเชื่อส่วนบุคคลปี 61-62 เพิ่มขึ้น 11-12% จากเดิม 8-9% รวมทั้งปรับลดการตั้งสำรองปี 62 ลดลง 14% เพื่อควบคุมระดับ Coverage Ratio ไม่ให้สูงเกินควร ส่งผลให้กำไรสุทธิปี 61-62 ที่ 5.1 และ 6.0 พันล้านบาท (+55%YoY, 17%YoY ตามลำดับ)