นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) เปิดเผยว่า บริษัทบรรลุข้อตกลงเข้าซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่มจำนวน 2 ราย มูลค่ารวมกว่า 5 พันล้านบาท เพิ่มจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ซื้อหนี้ไป 5 ราย และอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อซื้อหนี้มาบริหารเพิ่มอย่างต่อเนื่องอีก โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนได้ตามแผนที่วางไว้ สนับสนุนพอร์ตบริหารหนี้รวมสิ้นปีสะสมเพิ่มมากขึ้น และคาดว่าผลประกอบการในปี 61 จะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไร ตั้งเป้าหมายเติบโต 30% จากปีก่อนมีรายได้ 1,361.69 ล้านบาท กำไรสุทธิ 396.13 ล้านบาท
ทั้งนี้แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตกว่าครึ่งปีแรก จากภาพรวมสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในระบบยังคงเติบโต (Non-Performing Loan : NPL) สถาบันการเงินต่างมีแผนขายหนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง เป็นโอกาสของ JMT ให้ได้รับอานิสงส์ดังกล่าว โดยบริษัทฯ วางงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 4.5 พันล้านบาท สำหรับซื้อหนี้ด้อยคุณภาพทั้งที่มีหลักประกัน และไม่มีหลักประกันเข้ามาบริหาร ในช่วงครึ่งปีแรกใช้เงินลงทุนไปแล้วประมาณ 1.3 พันล้านบาท และมีพอร์ตบริหารหนี้รวมอยู่ที่ประมาณ 1.3 แสนล้านบาท
ขณะเดียวกัน ความสามารถในการจัดเก็บหนี้ (Cash Collection) อยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าเป้าหมายของบริษัทฯ รายได้จากการเรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ที่รับซื้อเติบโต กระแสเงินสดรับเพิ่มขึ้น เป็นผลบวกทำให้บริษัทฯ สามารถตัดต้นทุนเงินลงทุนได้เร็วกว่าเดิม เนื่องจากฐานลูกหนี้ที่รับซื้อสูงขึ้น เป็นตัวสะท้อนหนี้ด้อยคุณภาพที่บริษัทฯ ซื้อเข้ามาบริหาร ซึ่งบริษัทฯ พิจารณาถึงผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นสำคัญ
"ปีนี้ JMT ตั้งเป้าใช้เงินลงทุนซื้อหนี้มาบริหาร 4.5 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่าปีก่อนมาก เพราะเล็งเห็นโอกาสการเติบโตของหนี้ด้อยคุณภาพในระบบ ขณะที่ หนี้ที่บริษัทฯ ซื้อมา เราให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพมากกว่าจำนวน เพื่อการเติบโตของกำไรเป็นสำคัญ โดยปัจจุบัน JMT ซื้อหนี้มาบริหารแล้ว 127 กอง ตัดต้นทุนหมดแล้ว 40 กอง และเตรียมตัดต้นทุนให้หมดเพิ่มอีกในปี 61 สนับสนุนความสามารถในการทำกำไรปีนี้ และในปีหน้า จึงมั่นใจผลงานปี 62 จะเติบโตแรงต่อเนื่องจากปีนี้ได้" นายสุทธิรักษ์ กล่าว