นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.ชิค รีพับบลิค (CHIC) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุญาตแบบคำขอเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนของ CHIC แล้ว ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมตัวนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในช่วงไตรมาส 4/61 นี้
สำหรับวัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ลงทุนขยายสาขา รองรับฐานลูกค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ชำระคืนหนี้กับสถาบันการเงิน รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ทั้งนี้บริษัทดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีกในการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้าน ของใช้ในบ้าน โคมไฟตกแต่ง ที่นอนและเครื่องนอนอย่างครบวงจร ในรูปแบบร้านค้าเดี่ยวภายใต้แบรนด์ "ชิค รีพับบลิค" (CHIC) และ "ริน่า เฮย์" (RINA HEY)
ปัจจุบัน CHIC มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 500 ล้านบาท และภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ CHIC จะมีทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 680 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท ทั้งนี้บริษัทจะทำการเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 360 ล้านหุ้น คิดเป็น 26.47% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้
"CHIC เป็นร้านค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ที่มีความโดดเด่นเน้นความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดีไซน์สวยงาม ตรงต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และมีโอกาสในการขยายสาขาเข้าไปในหัวเมืองต่างๆที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกเป็นจำนวนมาก ถือเป็นโฮมแฟชั่นสโตร์แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ที่มีความเชี่ยวชาญ มีมาตรฐานการดำเนินงานยาวนานมากกว่า 10 ปี" นายวิชากล่าว
ขณะที่ นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ CHIC เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้บริษัทมีแผนจะนำไปใช้ในการขยายสาขา 5 สาขาใน 5 ปี โดยตั้งงบลงทุนเฉลี่ยราว 250 ล้านบาทต่อสาขา และอีกส่วนหนึ่งบริษัทจะนำไปชำระหนี้สถาบันการเงินที่มีอยู่ราว 300 ล้านบาท รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
สำหรัลแผนการขยายสาขา 5 สาขาภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ปี 61 โดยรวม 3 สาขาที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ อันได้แก่ 1) สาขาประเทศกัมพูชา โดยจะเปิดบริการในห้างสรรพสินค้า Aeon Mall 2 Sen Sok City กรุงพนมเปญ คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในไตรมาส 4/61 2) สาขารามอินทรา คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปี 62 และ 3) สาขาอุดรธานี คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปี 63
นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการเปิดสาขาใหม่ในหัวเมืองใหญ่ของภูมิภาคต่างๆ ของประเทศทั้งภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ และภาคใต้ เช่น ภูเก็ต หรือ หาดใหญ่ เป็นต้น ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีสาขารวม 4 แห่ง ตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ เป็นศูนย์กลางของชุมชนเมืองขนาดใหญ่ โดยมีสาขาในกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย ประดิษฐ์มนูธรรม บางนา ราชพฤกษ์ ส่วนสาขาต่างจังหวัด ได้แก่ พัทยา
สำหรับเป้าหมายการเติบโตบริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 61 ทรงตัวจากปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 629.61 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นในปี 62 เนื่องจาก มองแนวโน้มกำลังซื้อปรับตัวดีขึ้น ประกอบการงานโครงการขยายตัวเพิ่มขึ้น ณ มิ.ย.61 บริษัทมีงานในมือ (Backlog) 156 ล้านบาท จากลูกค้าผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำหลายราย โดยจะทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 63
นายกิจจา กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทมีแผนมุ่งเน้นการเข้าร่วมประมูลงานตกแต่งภายในของฐานลูกค้า ในโครงการของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น ตามการฟื้นตัวของตลาดแนวสูง หรือคอนโดมิเนียม จาก 2-3 ปีที่ผ่านมามีการชะลอตัวลง ประกอบกับคาดว่ายอดขายสินค้าหน้าร้าน (ค้าปลีก) จะเติบโตราว 5%
ขณะเดียวกัน บริษัทยังมองหาโอกาสในการขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าขยายสาขาในประเทศกลุ่ม CLMV เป็นหลัก ปัจจุบันมีความชัดเจนในการขยายสาขาในกัมพูชาแล้วในกรุงพนมเปญ เนื่องจากผู้บริโภคในกัมพูชาที่มีกำลังซื้อมีพฤติกรรมใกล้เคียงคนไทย อีกทั้งมองว่าธุรกิจเฟอร์นิเจอร์จะเติบโตได้ดีตามการขยายตัวของธุรกิจร้านกาแฟในกัมพูชาด้วย
บริษัทยังตั้งงบการตลาดไว้ที่ 3% ของยอดขาย โดยมุ่งเน้นการทำการตลาดแบบ O2O (Online-to-Offline Marketing) เป็นหลัก อีกทั้งบริษัทยังทำการตลาดผ่านป้ายโฆษณาบิลบอร์ด, ใบปลิว, และการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นให้มีจำนวนลูกค้าที่สนใจสินค้าของบริษัทเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบริษัทยังมียอดขายเฉลี่ยต่อบิลสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดด้วย