นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยเดือน ต.ค. ดัชนีหุ้นไทยจะปรับลงไม่หลุด 1,670 จุด ก่อนทรงตัวและค่อยๆ ปรับขึ้นไปแตะเป้าหมายปลายปี 61 ที่ 1,770-1,810 จุด ขณะที่เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในช่วงก่อนการเลือกตั้ง คาดว่าจะขึ้นแตะ 1,850 จุด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี่ยง (RMF) ที่มีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยราว 5 หมื่นล้านบาทในช่วงไตรมาส 4/61 ขณะที่ต่างชาติถือครองหุ้นไทยในสัดส่วนที่ต่ำ ก็น่าจะหันกลับมาซื้อหุ้นไทย ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยเติบโตแข็งแกร่ง และกำลังจะมีการเลือกตั้งในปี 62
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกช่วงนี้ปรับตัวลดลงเกือบทุกตลาด สาเหตุหลักมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.23% ถือเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 7 ปี เพราะตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ออกมาดีต่อเนื่อง จึงทำให้นักลงทุนบางรายต้องทยอยขายหุ้นออกมาเพื่อกลบการขาดทุนจากราคาตราสารหนี้ที่ปรับลดลง
โดยประเทศที่ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัดคือ ตลาดหุ้นกลุ่มละตินอเมริกา ยุโรป และเอเชียในบางประเทศที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ ค่าเงิน รวมไปถึงปัญหาการเมือง ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับฐานน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่น เพราะปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจของไทยแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ยังมีประเด็นสนับสนุนจากภาครัฐที่เร่งลงทุนโครงการต่าง ๆ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง รวมไปถึงความชัดเจนของการเลือกตั้งซึ่งคาดว่าจะสามารถกำหนดวันอย่างเป็นทางการได้ในช่วงเดือน ธ.ค. 61 จึงคาดว่าปัจจัยบวกเหล่านี้ทำให้นักลงทุนต่างประเทศที่ปัจจุบันมีสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 50 จะหันกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยอีกครั้ง
"จากการประเมิน บล.ทิสโก้คาดว่า SET จะปรับฐานน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่น โดยคาดว่าการปรับฐานในรอบนี้ดัชนีหุ้นไทยจะไม่หลุด 1,670 จุด เพราะยังมีแรงหนุนจาก LTF และ RMF ที่คาดว่าจะไหลเข้าประมาณ 5 หมื่นล้านบาทในช่วงไตรมาสที่ 4/61 นี้ โดยแบ่งเป็น LTF ประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท และ RMF ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท อีกทั้ง ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติก็ถือครองหุ้นไทยต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 50 โดยช่วง 5 ปี 9 เดือน (ถึงเดือนส.ค. 61) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไปถึง 5.5 แสนล้านบาทแล้ว"นายวิวัฒน์ กล่าว
นายวิวัฒน์ กล่าวว่า จากข้อมูลสถิติย้อนหลัง 10 ปี พบว่าดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกปีในช่วงไตรมาสที่ 4 และพบอีกว่ามีโอกาสมากถึง 63% ที่นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.2% หากซื้อหุ้นตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ 4 และขายหุ้นในช่วงปลายไตรมาสที่ 4 ของปีเดียวกัน โดยมีหุ้นเด่นประจำเดือน ต.ค. 61 คือ BBL, KKP , PLANB, WHA , ROJNA, และ STEC ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 3 จะออกมาดี และเป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากธีมการเลือกตั้ง
"หากมองการลงทุนในระยะที่ยาวขึ้น บล.ทิสโก้คาดว่าในปี 62 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายประมาณ 2 ครั้ง ซึ่งในช่วงก่อนการประกาศขึ้นดอกเบี้ยจะได้เห็นราคาหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นรับข่าว ส่วนราคาทองคำในปี 62 คาดว่าจะไม่ปรับขึ้นหรือปรับตัวลงรุนแรงนัก โดยมีกรอบอยู่ที่ 1,120-1,260 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ โดยมีปัจจัยบวกจากตลาดหุ้นในปีหน้าที่จะผันผวนและลงทุนยากไม่ต่างจากปี 61 และมีปัจจัยลบคืออัตราดอกเบี้ยนโยบายเกือบทุกประเทศอยู่ในช่วงขาขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันในช่วง 4 เดือนหลังจากนี้ บล.ทิสโก้มองว่าจะอยู่ในกรอบ 70-77 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล"นายวิวัฒน์ กล่าว