นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายตลาดทุน บล.ภัทร ในฐานะตัวแทนที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุน เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทจัดการและที่ปรึกษาทางการเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการและร่างหนังสือชี้ชวนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย หรือ Thailand Future Fund (TFFIF) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขออนุมัติเพิ่มเงินทุนจดทะเบียนเป็นครั้งแรก ล่าสุดกองทุน TFFIF ได้รับอนุมัติให้เพิ่มเงินทุนจดทะเบียนครั้งแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ TFFIF จะเข้าลงทุนครั้งแรกในสิทธิในการรับส่วนแบ่งรายได้ค่าผ่านทางของทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ซึ่งได้แก่ ทางพิเศษฉลองรัชและทางพิเศษบูรพาวิถี ระยะทางรวม 83.2 กิโลเมตร โดยเป็นการลงทุนในสิทธิในการรับรายได้ร้อยละ 45 ของรายได้ค่าผ่านทางรวมสุทธิที่จัดเก็บได้จากทางพิเศษทั้ง 2 เส้นทางดังกล่าว เป็นระยะเวลา 30 ปี นับจากวันโอนสิทธิตามสัญญาโอนและรับโอนสิทธิในรายได้ (Revenue Transfer Agreement หรือ RTA) โดยคาดว่า กทพ.จะนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนในครั้งนี้ไปใช้พัฒนาโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก และโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 เชื่อมต่อไปยังถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันออกและส่วนต่อขยายทดแทน ตอน N1
การเข้าลงทุนครั้งนี้ TFFIF จะไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการซ่อมแซมและบำรุงรักษาทางพิเศษทั้ง 2 เส้นทางดังกล่าว และตามสัญญา RTA จะมีการพิจารณาทบทวนอัตราค่าผ่านทางทุก ๆ 5 ปี โดยจะเริ่มพิจารณาอัตราค่าผ่านทางครั้งแรกในวันที่ 1 มีนาคม 2566 หรือ 5 ปีนับจากการเริ่มพิจารณาอัตราค่าผ่านทางของทางพิเศษฉลองรัชและทางพิเศษบูรพาวิถีครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคม 2561 ที่ผ่านมา
สำหรับราคาเสนอขายหน่วยลงทุน TFFIF อยู่ที่ราคาหน่วยละ 10 บาท โดยผู้จองซื้อทั่วไปหรือประชาชนทั่วไปสามารถขอรับหนังสือชี้ชวน ใบจองซื้อ รวมทั้งจองซื้อหน่วยลงทุน TFFIF ได้ตั้งแต่วันที่ 12 – 19 ตุลาคม 2561 (ในวันและเวลาทำการของสถานที่ที่ผู้รับจองซื้อแต่ละรายกำหนด) ได้ที่สำนักงานใหญ่และสาขาของ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ (ยกเว้นสาขาไมโคร) บล.ฟินันซ่า บล.ภัทร (เฉพาะลูกค้าของบล. ภัทร เท่านั้น) บลจ.กรุงไทย และ 6. บลจ. เอ็มเอฟซี (MFC) โดยผู้จองซื้อทั่วไปสามารถจองซื้อขั้นต่ำที่จำนวน 1,000 หน่วย (หรือ 10,000 บาท) และเป็นจำนวนทวีคูณของ 100 หน่วย (หรือ 1,000 บาท) โดยไม่จำกัดจำนวนที่จองซื้อต่อ 1 ใบจองซื้อ
โดยการจัดสรรหน่วยลงทุน TFFIF ให้แก่ผู้จองซื้อทั่วไปในครั้งนี้จะใช้วิธีการจัดสรรแบบ Small Lot First ตามหลักเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ดำเนินการโดยบริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยวิธีดังกล่าวเป็นการจัดสรรหน่วยลงทุนให้แก่ผู้จองซื้อทั่วไปทุกราย ตามจำนวนหน่วยจองซื้อขั้นต่ำที่ 1,000 หน่วยในรอบแรกและวนไปเรื่อยๆ รอบละ 100 หน่วย จนกว่าจะจัดสรรครบตามจำนวนหน่วยลงทุนที่เสนอขายสุดท้ายสำหรับผู้จองซื้อทั่วไปเพื่อให้ได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียมกัน โดยผู้จองซื้อที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรต้องเป็นผู้จองซื้อที่ยื่นใบจองซื้อหน่วยลงทุนส่วนเพิ่มทุนสำหรับผู้จองซื้อทั่วไปที่กรอกครบถ้วนและเอกสารประกอบในการจองซื้อหน่วยลงทุน พร้อมกับเช็ค ดราฟต์ แคชเชียร์เช็คหรือหลักฐานการชำระเงินอื่นภายในวันและเวลาที่กำหนด
ทั้งนี้ ในเบื้องต้นจำนวนหน่วยลงทุนส่วนเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ผู้จองซื้อทั่วไปมีจำนวนประมาณ 1,845.0-2,056.5 ล้านหน่วย โดยคาดว่าจะสามารถประกาศกำหนดจำนวนหน่วยลงทุนเสนอขายสุดท้าย พร้อมทั้งประกาศผลการจัดสรรหน่วยลงทุนสำหรับผู้จองซื้อทั่วไป ได้ในวันที่ 22 ตุลาคม 2561
ในกรณีที่ผู้จองซื้อทั่วไปไม่ได้รับการจัดสรรหน่วยลงทุน บริษัทจัดการจะคืน หรือดำเนินการให้ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุน หรือผู้สนับสนุนการขายหน่วยลงทุนแต่ละราย (แล้วแต่กรณี) คืนเงินค่าจองซื้อหน่วยลงทุน ให้แก่ผู้จองซื้อหน่วยลงทุน ภายใน 3 วันทำการหลังจากวันที่ประกาศผลการจัดสรรหน่วยลงทุนสำหรับผู้จองซื้อทั่วไป โดยมีรายละเอียดเพิ่มเติมตามที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน
ตัวแทนที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุน กล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุน TFFIF ได้รับความสนใจเป็นอย่างดีจากนักลงทุน โดยเฉพาะการจัดโรดโชว์นำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งมีนักลงทุนสนใจเข้าฟังข้อมูลเป็นอย่างดี เนื่องจากทางพิเศษฉลองรัชและทางพิเศษบูรพาวิถีที่ TFFIF จะเข้าลงทุนครั้งแรกในสิทธิในการรับส่วนแบ่งรายได้นั้น เป็นทรัพย์สินที่สร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ และมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากการขยายโครงข่ายทางพิเศษในอนาคต
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงไทย ในฐานะตัวแทนบริษัทจัดการ กล่าวว่า TFFIF มีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ในกรณีที่กองทุนมีกำไรสะสมเพียงพอ และโดยรวมแล้วในแต่ละรอบปีบัญชีจะจ่ายในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว นอกจากนี้ ประมาณการอัตราการปันส่วนแบ่งให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในปีแรก (สิ้นสุด 30 กันยายน 2562) อยู่ที่ร้อยละ 4.75 ถึง 5.30
โดยทางพิเศษทั้ง 2 สายทางดังกล่าว มีผลการดำเนินงานย้อนหลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ 2558 ถึง 2560 (1 ต.ค. ถึง 30 ก.ย.) มีรายได้จากค่าผ่านทางของทางพิเศษทั้ง 2 สายทางอยู่ที่ 4,650 ล้านบาท 4,787 ล้านบาท และ 4,999 ล้านบาทต่อปีตามลำดับ มีการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 3.7 ต่อปี และปริมาณการจราจรรวมทั้ง 2 สายทาง โดยเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 3.37 แสนคัน 3.53 แสนคัน และ 3.69 แสนคัน ตามลำดับ เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 4.7 ต่อปี
ขณะที่งวด 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (1 ต.ค. ถึง 30 มิ.ย.2561) มีรายได้จากค่าผ่านทางของทางพิเศษทั้ง 2 สายทางรวม 3,844 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีปริมาณการจราจรรวมทั้ง 2 สายทาง โดยเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 3.87 แสนคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ทางพิเศษฉลองรัช มีความสามารถในการรองรับปริมาณการจราจรได้ถึง 3.5 แสนคันต่อวัน และทางพิเศษบูรพาวิถี สามารถรองรับปริมาณการจราจรได้ถึงวันละ 3.6 แสนคัน
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะเข้าถือหน่วยลงทุนของ TFFIF ในสัดส่วนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนหน่วยลงทุน เป็นระยะเวลา 5 ปีนับจากวันที่หน่วยลงทุนเริ่มการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ตัวแทนบริษัทจัดการ กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงทุนใน TFFIF ถือว่ามีความน่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่จ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ และมีความผันผวนต่ำกว่าการลงทุนในหุ้น นอกจากนี้นักลงทุนรายย่อย (บุคคลธรรมดา) จะได้รับยกเว้นการจัดเก็บภาษีจากเงินปันผลที่ได้รับจากกองทุนฯ เป็นระยะเวลา 8 ปีอีกด้วย
นอกจากนี้ TFFIF ยังมีศักยภาพในการเติบโต จากการเข้าลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ของภาครัฐในอนาคตได้ทุกประเภท เช่น ทางหลวง สนามบิน ท่าเรือ ระบบราง ฯลฯ ซึ่งจะส่งผลดีต่อขนาดของกองทุนและยังจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขายหน่วยลงทุนในอนาคต