นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานปี 61-62 เตรียมศึกษาความเป็นไปได้ออกกองทุนประเภทใหม่เพื่อทดแทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่สิ้นสุดโครงการในสิ้นปี 62 โดยผู้ลงทุนจะหมดอายุสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการลงทุนในกองทุน LTF และจะไม่ขอขยายต่อ เนื่องจากควรเปลี่ยนรูปแบบใหม่ เน้นดึงฐานผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อย เข้าสู่ตลาดทุน ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธ์ศาสตร์การผลักดันให้ประชาชนทุกระดับใส่ใจการลงทุนระยะยาว เพราะ LTF เอื้อประโยนช์กระจุกตัวแก่ผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้สูงมากกว่า
โดยการศึกษาเพื่อที่จะจัดตั้งกองทุนใหม่นั้น สภาธุรกิจตลาดทุนไทย จะร่วมมือกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) และ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซึ่งคาดได้ข้อสรุปได้ภายในปีนี้ ขณะเดียวกันเตรียมศึกษาหาแนวทางรองรับเม็ดเงินที่จะไหลออกจากกองทุน LTF ซึ่ง ณ ก.ย.61 มียอดรวมประมาณ 3.9 แสนล้านบาท ป้องกันแรงตื่นตระหนกต่อภาพตลาดหุ้นไทย เหมือนกรณีสหรัฐยกเลิกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)
พร้อมกันนี้เตรียมยื่นเรื่องต่อหน่วยงานภาครัฐเพื่อขอแก้ไขกฎหมายเปิดทางให้ สมาคม, มูลนิธิ และสหกรณ์ ให้สามารถลงทุนได้ เพื่อเพิ่มฐานนักลงทุนสถาบันระยะยาว ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนในตลาดทุนไทยไม่ถึง 10% ของมาร์เก็ตแคป
"สมาคม มูลนิธิ สหกรณ์ เป็นองค์กรที่มีเงินเย็นจำนวนมาก แต่ไม่สามารถลงทุนในตลาดทุนได้ เพราะติดข้อกฎหมาย ซึ่งเรามองว่าเงินเหล่านั้นน่าจะมีประโยชน์และให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหากเข้ามาอยู่ในตลาดทุน อย่างน้อยสามารถลงทุนในกองทุนรวมได้ก็ยังดี ซึ่งปัจจุบันองค์กรเหล่านี้ลงทุนไม่ได้เลย" นายไพบูลย์ กล่าว
สำหรับในปี 2561-2562 FETCO มีนโยบายการดำเนินงาน โดยมีแผนงาน 8 แผนงานหลัก ประกอบด้วย 1) เสนอความคิดเห็นและให้คำปรึกษาต่อภาครัฐอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาตลาดทุนไทย 2) จัดทำแผนยุทธศาสตร์ตลาดทุนไทย 3) ติดตามและปรับปรุงแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์ 4) ขยายฐานนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนระยะยาว เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดทุนไทย 5) เพิ่มความหลากหลายของตราสารและผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนให้มากยิ่งขึ้น 6) สร้างนักวิเคราะห์การลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มคุณภาพของตลาดทุน 7) สนับสนุนสมาชิกให้ความรู้ด้านการลงทุนขั้นพื้นฐาน (Investment Literacy) แก่ประชาชนทั่วไป และ 8) สนับสนุนสมาชิกในการพัฒนากลไกการทำงานและการนำนวัตกรรมมาใช้ในตลาดทุน
"ตลาดทุนไทยมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายและการแข่งขันทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านขยายฐานนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนระยะยาว การเพิ่มความหลากหลายของตราสารและผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนให้มากยิ่งขึ้น การสร้างนักวิเคราะห์การลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มคุณภาพของตลาดทุน รวมทั้งการส่งเสริมให้ความรู้ด้านการลงทุนขั้นพื้นฐานให้กับประชาชนทั่วไป และการพัฒนากลไกการทำงานและการนำนวัตกรรมมาใช้ในตลาดทุน นอกจากนี้ FETCO จะร่วมทำหน้าที่เป็นองค์กรหลักในการติดตามและปรับปรุงแผนพัฒนาตลาดทุนไทยให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์อย่างใกล้ชิดมากขึ้นอีกด้วย"นายไพบูลย์ กล่าว
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ขณะเดียวกันเตรียมจะสนับสนุนการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เพื่อลดภาระและให้ทันสมัยยิ่งขึ้น เช่น แก้ไข พ.ร.บ.มหาชน เกี่ยวกับการเพิ่มช่องทางโฆษณาอื่นนอกจากหนังสือพิมพ์, การส่งเอกสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์, การเรียกประชุมกรรมการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์, การมอบฉันทะให้บุคคลอื่นเข้าประชุมผู้ถือหุ้นผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
นอกจากนี้เตรียมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนเพื่อจัดตั้ง Analyst Academy เพื่อเพิ่มบุคลากรนักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรม เพราะปัจจุบันจำนวนนักวิเคราะห์ลดลงต่อเนื่องสวนทางกับจำนวนบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพของบทวิเคราะห์ในระยะยาว
ทั้งนี้ในปี 51 มีนักวิเคราะห์ 340 ราย มี บจ.629 บริษัท ปัจจุบันเหลือนักวิเคราะห์ 280 ราย แต่มีบจ.ถึง 757 บริษัท และมีหลักทรัพย์สำหรับการลงทุนอีกหลายประเภทที่เกิดขึ้นมาใหม่ แต่ยังไม่มีนักวิเคราะห์เพียงพอ โดยเรื่อง Analyst Academy มีการพูดคุยกันมาหลายปี และทุก ๆ ฝ่ายเห็นด้วย แต่เมื้อเข้าเรื่องเงินทุน ประเด็นนี้ก็จะเงียบหายไป ซึ่งเรื่องนี้ควรให้ความสำคัญ เพราะเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและคุณภาพของการวิเคราะห์การลงทุนในตลาดทุนไทย โดยส่วนตัวจะลองผลักดันเรื่องนี้อีกครั้ง