นายธาดา พฤฒิธาดา กรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ตลาดตราสารหนี้ไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีมูลค่าคงค้างรวม 12.28 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% จาก 11.64 ล้านล้านบาทเมื่อสิ้นปีก่อน โดยการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวมีมูลค่ารวม 7.1 แสนล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 19% ซึ่งเป็นการออกเพิ่มขึ้นจากทั้งภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง และสถาบันการเงิน โดยในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงทุกกลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือมีมูลค่าการออกเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือสูง (AA- ถึง AAA) ออกเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกลุ่มที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Non-rated) กว่า 70% เป็นการออกหุ้นกู้มีหลักประกัน (Secured Bond) ส่วนตราสารหนี้ระยะสั้น ภาพรวมการออกใน 9 เดือนที่ผ่านมา มูลค่าการออกเพิ่มขึ้น 14% โดยเห็นการส่งออกเพิ่มขึ้นจากการกู้ยืมในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน ในขณะที่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงและสถาบันการเงิน มีการออกลดลง 10.3% และ 54.7% ตามลำดับ โดยการออกตั๋วแลกเงิน (BE) ของภาคธุรกิจที่แท้จริงมีมูลค่าลดลงกว่า 19.4% ทั้งนี้การเสนอขาย BE ในกรณีการเสนอขายวงแคบไม่เกิน 10 ราย (PP10) โดยใน 10 รายจะต้องมีความสัมพันธ์กับบริษัท หรือเป็นนักลงทุนสถาบันรวมถึงเป็น High Net Worth ซึ่งถ้าเป็น High Ner Worth จะต้องทำผ่านตัวกลางและจัดให้มีกระบวนการกลั่นกรองความเหมาะสม ด้านกระแสเงินลงทุนต่างประเทศ (Fund flow) พบว่า นักลงทุนต่างชาติยังคงเข้าลงทุนในตราสารหนี้ไทยมีมูลค่าซื้อสุทธิ 1 แสนล้านบาท ในช่วง 9 เดือนของปี 61 ประกอบด้วยการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ภาครัฐระยะยาว 1.71 แสนล้านบาท และขายสุทธิหรือครบอายุในตราสารหนี้ระยะสั้น 7.1 หมี่นล้านบาท ทำให้ ณ สิ้นเดือนก.ย.61 ต่างชาติมีมูลค่าการลงทุนสะสมในตราสารหนี้ไทยทั้งสิ้น 9.4 แสนล้านบาท คิดเป็น 7.53% ของมูลค่ารวมตลาดตราสารหนี้ไทย ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ตลาดตราสารหนี้ไทย ในขณะเดียวกันเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้นทุกรุ่นอายุ โดยรุ่นอายุ 2 ปี ปรับสูงขึ้น 0.48% และรุ่นอายุ 10 ปี ปรับสูงขึ้น 0.27% จากสิ้นปีที่ผ่านมา สำหรับทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามทิศทางอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าจะคงอยู่ในระดับเดิมที่ 1.5% จนถึงสิ้นปีนี้