นายนำชัย วนาภานุเบศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ปริญสิริ(PRIN)คาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน 335 ล้านหุ้นอย่างเร็วในไตรมาส 1/51 โดยจะมีการประเมินความเหมาะสมเกี่ยวกับรูปแบบการขายหุ้นเพิ่มทุนว่าจะเป็นการจัดสรรขายให้กับประชาชนทั่วไป(PO) หรือ การเสนอขายให้กับนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง(PP)
แม้ก่อนหน้านี้บริษัทจะมีความคิดที่อาจจะปรับเปลี่ยนเป็นการขายหุ้นเพิ่มทุนแบบ PP แทนซึ่งหากบริษัทเลือกที่จะเสนอขายแบบ PP ก็จะต้องขออนุมัติผู้ถือหุ้นก่อน และยังมีความตั้งใจที่จะเลือกแนวทางการขายหุ้นแบบ PO เพราะจะทำให้จำนวนผู้ถือหุ้นเพิ่มเข้ามาไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อยหรือนักลงทุนสถาบัน ซึ่งจะแตกต่างกับ PP ที่จะเป็นผู้ลงทุนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น
"ในใจเราตอนนี้ยังคงจะขาย PO เป็นอันดับหนึ่งก่อน แต่ PP เป็นวิธีการคิดที่รองรับไว้หากสถานการณ์ไม่ดี เพราะจำนวนเงินที่ได้ไม่แตกต่างกัน แต่ถ้าเป็น PO จะดีในแง่จำนวนนักลงทุนที่เข้ามาเพิ่มขึ้นไม่เป็นเฉพาะกลุ่ม ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีนักลงทุนบางรายเข้ามาคุยกับบริษัท " นายนำชัยกล่าวกับ "อินโฟเควสท์"
ทั้งนี้ หลังการเพิ่มทุนจะทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)ทั้งในปัจจุบันและอนาคตลดลง ตามที่บริษัทตั้งเป้ารักษา D/E ให้ต่ำกว่า 1 เท่าจากปัจจุบันอยู่ที่ 1.2 เท่า
นายนำชัย กล่าวว่า ในปี 51 คาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดรวมอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทคาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 3.9 พันล้านบาท จากปี 50 ที่คาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ที่ 2.5 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะสามารถรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมีเนียมที่ค้างการรับรู้ฯ มาจากปีก่อน จากจำนวนที่เปิดตัวไปแล้ว 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 5 พันล้านบาท เพราะการรับรู้ฯ จะได้ต่อเมื่อมีการโอนหรือมีการก่อสร้างไปแล้ว 90%
นอกจากนั้น ยังเป็นการรับรู้จากโครงการในแนวราบที่มีมูลค่างานในมือ(Backlog) ประมาณ 1 พันกว่าล้านบาท จากปีที่ผ่านมาโครงการแนวราบมียอดขายไม่ดีนัก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และปีนี้บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ประมาณ 8 โครงการอย่างน้อยในปีนี้ มูลค่าโครงการกว่า 8 พันล้านบาท ทั้งแนวราบและแนวสูง คาดว่าจะเริ่มเปิดโครงการได้ในช่วงไตรมาส 2/51
นายนำชัย ยังเปิดเผยอีกว่า บริษัทตั้งงบลงทุนซื้อที่ดินในปีนี้ไว้ประมาณ 2,000 ล้านบาท จากในปี 50 ที่บริษัทใช้งบซื้อที่ดินไปประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยประเมินสถานการณ์ว่าปีนี้ธุรกิจจะดีกว่าปีก่อน เพราะผู้บริโภคจะกลับมาซื้อบ้านมากขึ้น เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างคลี่คลายลงทั้งเรื่องเศรษฐกิจ และการเมือง แต่ก็จะต้องติดตามการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป
ส่วนปัญหาซับไพร์มนั้นยังเป็นเรื่องที่ไม่นิ่ง จากผลกระทบของปัญหาดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้มีบ้านเหลือที่รอขายประมาณมูลค่า 1 พันล้านบาท ทั้งลักษณะที่บางโครงการขายไม่หมด ซึ่งตอนนี้บริษัทอยู่ระหว่างให้ฝ่ายการตลาดหาวิธีในการระบายการขายให้หมดภายในปีนี้ ซึ่งหากตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับมาฟื้นก็จะทุ่มงบโฆษณา หรืออาจการขายลดราคา หรือใช้โปรโมชั่นพิเศษเพื่อเร่งส่งเสริมการขายต่อไป
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--