นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะรีบาวด์ขึ้น แม้ว่าดาวโจนส์เมื่อคืนที่ผ่านมาจะปรับตัวลงแรง แต่เช้านี้ดาวโจนส์ฟิวเจอร์บวกได้กว่า 100 จุด และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ของสหรัฐฯก็อ่อนตัวลงมา หลังจากที่เงินเฟ้อสหรัฐฯออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ ทำให้แรงกดดันลดลง นักลงทุนเริ่มคลายวิตก โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ
สำหรับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิเมื่อวานนี้กว่าหมื่นล้านบาท แต่ SET50 Future ก็ได้มีการทำ Long ไว้มาก แสดงให้เห็นว่าเงินไม่ได้ออกไป จึงคิดว่าหุ้นไทยน่าจะมีลุ้นรีบาวด์ได้
ทั้งนี้ ในช่วงเปิดเทรดมาตลาดฯอาจจะบวกได้ก่อน และรอดูท่าทีตลาดฯอีกที เนื่องจากตลาดบ้านเราจะปิดทำการ 3 วัน พร้อมให้ติดตามตัวเลขดุลการค้าของจีนในวันนี้
พร้อมให้แนวรับ 1,673-1,666 จุด ส่วนแนวต้าน 1,695-1,700 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (11 ต.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,052.83 จุด ร่วงลง 545.91 จุด (-2.13%) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,728.37 จุด ลดลง 57.31 จุด (-2.06%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,329.06 จุด ลดลง 92.99 จุด (-1.25%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 267.43 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 9.42 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 135.04 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 5.47 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 1.99 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 7.78 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 4.57 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 11.49 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (11 ต.ค.61) 1,682.89 จุด ลดลง 38.93 จุด (-2.26%)
- นักลงทุนต่างชาติต่างชาติขายสุทธิ 10,551.27 ล้านบาท เมื่อวันที่ 11 ต.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (11 ต.ค.61) ปิดที่ 70.97 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 2.20 ดอลลาร์ หรือ 3.01%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (11 ต.ค.61) ที่ 5.22 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.67 แข็งค่าจากวานนี้ หลังตัวเลข CPI สหรัฐออกมาต่ำกว่าคาดฉุดดอลลาร์อ่อนค่า
- "สมคิด"ถกผู้บริหาร ปตท.-กระทรวงพลังงาน สั่งหามาตรการดูแลราคาน้ำมันขาขึ้น ลดผลกระทบผู้มีรายได้น้อย พยุงราคาเชื้อเพลิง"แท็กซี่จักรยานยนต์" ขีดเส้นคลอดมาตรการใน 3 เดือน ด้าน"ศิริ"เล็งใช้กองทุนน้ำมันฯ อุ้มจักรยานยนต์รับจ้าง ใช้แก๊สโซฮอล์ 95 ต่ำกว่าปกติ 3 บาทต่อลิตร ศึกษาเสร็จ ธ.ค.นี้ เล็งลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันอุ้มดีเซล ด้านมติ กบง.เท 2.4 หมื่นล้านคุมดีเซลไม่เกิน 30 บาท
- สมาคมตลาดตราสารหนี้ คาดยอดออกหุ้นกู้ปีนี้พุ่งแตะ 8.8 แสนล้าน ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ชี้จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ภาคเอกชน แห่ล็อกต้นทุน ขณะบจ.ใหญ่ ระดมเงินซื้อกิจการในต่างประเทศ เผยยอดออกหุ้นกู้ ปัจจุบันรวมกว่า 7.1 แสนล้าน เพิ่มขึ้นกว่า 19%
- แบงก์รัฐแจงไม่สามารถใช้เกณฑ์คุมกู้บ้านหลังสองได้ ห่วงกระทบผู้มีรายได้น้อย ชี้ ธปท.ต้องกำหนดนิยามหลักเกณฑ์ให้ชัดเจน เอกชนค้านคุมสินเชื่อบ้านหลังสอง พร้อมเสนอให้คุมกู้บ้านหลังสาม-เลื่อนเวลาใช้มาตรการ
*หุ้นเด่นวันนี้
- TISCO (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 98 บาท รายงานกำไรสุทธิ Q3/61 ที่ 1.8 พันล้านบาท +6.2% Q-Q, +15.4% Y-Y ดีกว่าคาด เนื่องจากมีการบันทึกกำไรจากการขายธุรกิจบัตรเครดิตราว 200 ล้านบาท หากหักรายการดังกล่าวออกกำไรจากการดำเนินงาน (PPOP) ก็ยังดีกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยสูงกว่าคาดส่วนใหญ่เกิดจากกำไรจากการขายเงินลงทุน NPL Ratio ทรงตัวที่ 2.7% ขณะที่ Coverage ratio แข็งแกร่งที่ 193.5% กำไร 9M61 อยู่ที่ 5.29 พันล้านบาท +15.8% Y-Y คิดเป็น 74.5% ของประมาณการกำไรทั้งปีที่ 7.1 พันล้านบาท
- AOT (ฟินันเซัย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 73 บาท แนวโน้มกำไรสุทธิ Q4/61 (ก.ค.-ก.ย.61) จะกลับมาโตแรง 30-35% Y-Y อยู่ที่ราว 5 พันล้านบาท จากฐานที่ต่ำในปีก่อน และจำนวนเที่ยวบินที่โตได้ 4-5% Y-Y แม้นักท่องเที่ยวจีนและรัสเซียจะยังชะลอ และเป็นหุ้นที่น่า Cover short มากที่สุด เพราะราคาหุ้นยัง Underperform SET50 อยู่ 3% และในรอบใน 1 เดือนที่ผ่านมาติดหนึ่งใน 10 หุ้นที่ถูก SBL สะสมมากที่สุด 895 ล้านบาท อีกทั้งในช่วง 5 วันทำการที่ผ่านมาเป็นหุ้นที่ NVDR ขายสะสมมากถึง 770 ล้านบาท ความเสี่ยงที่ต่างชาติจะขายอีกจึงจำกัด
- CPF (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 31.50 บาท คาดกำไรสุทธิ Q3/61 ลดลงจากรายการพิเศษ แต่ผลการดำเนินงานปกติคาดจะเติบโตได้ดีเมื่อเทียบ QoQ และ YoY ตามไฮซีซั่นและราคาหมูเพิ่มขึ้นทั้งในไทยและเวียดนาม โดบยังคาดว่ากำไรปกติจะเติบโตดียิ่งขึ้นในปีหน้าจากธุรกิจหมูที่เข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น ขณะที่ธุรกิจไก่ในไทยค่อย ๆ ฟื้นตัวเช่นเดียวกับ Bellsio
- KTB (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 23 บาท เลือกเป็นหนึ่งใน top pick กลุ่มธนาคารเนื่องจากคาดว่าจะมีผลกำไรเติบโตโดดเด่นที่สุดในปีนี้และปีหน้าประมาณ 30%yoy และ 11%yoy ตามลำดับ เป็นผลจากสินเชื่อภาครัฐที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นและได้ผลบวกจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น