บล.โกลเบล็ก (GBS) มองกรอบดัชนีหุ้นไทยช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ยังผันผวนในกรอบ 1,650-1,800 จุด แม้จะมีปัจจัยจากต่างประเทศเป็นตัวแปรสำคัญด้านการลงทุน แต่ปัจจัยบวกจากในประเทศทั้งประเด็นการเมือง ,การเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงการเปิดประมูลด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ตลอดจนเม็ดเงินลงทุนจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เข้ามาช่วยประคองตลาด
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ยังคงมีแนวโน้มผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศยังคงเป็นแปรหลักที่สำคัญที่เข้ามาฉุดภาพรวมการลงทุน อีกทั้งเรื่องสงครามการค้าที่ยังคงยืดเยื้อและอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในการประชุมเดือนธันวาคม และ fund flow ไหลออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงจากค่าเงินที่อ่อนค่า
ทั้งนี้ ปัจจัยที่นักลงทุนยังคงต้องจับตาหลังจากนี้ คงเป็นกรณีการที่จะจัดให้การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ รวมถึงการกำหนดประชุมธนาคารกลางสหรัฐ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 7-8 พ.ย. , กำหนดประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามเดิม โดยจะเกิดขึ้นวันที่ 14 พ.ย. และ การกำหนดประชุมธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งจะจัดขึ้นวันที่ 18-19 ธ.ค. ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าที่ประชุมฯจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% และในวันที่ 19 ธ.ค. กำหนดประชุมกนง. โดยคาดว่าที่ประชุมอาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหากดัชนีเงินเฟ้อพุ่งขึ้นแรงชนกรอบเป้าหมายที่ระดับ 1.25%
ขณะที่ปัจจัยในประเทศนั้น มองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย ยังมีปัจจัยบวกจากการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2562 ที่มีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงความคืบหน้าในการเตรียมตัวของพรรคการเมือง ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทยที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดย Consensus คาดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ปี 2561 อยู่ที่ระดับ 4.4-4.8% รวมถึงการเปิดประมูลโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และเม็ดเงินกองทุน LTF/RMF ในช่วงปลายปีที่จะเข้ามาช่วยพยุงภาพรวมตลาดหุ้นไทย
ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2561 ยังคงผันผวนอยู่ในกรอบ 1,650-1,800 จุด โดยแนะนำทยอยซื้อสะสมหุ้น เมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวจากภาวะตลาด อาทิ หุ้นกลุ่มธนาคาร เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในช่วงปลายปี ทำให้มีการกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ดังนั้น แนะนำ TMB, KKP และ KBANK พร้อมทั้งยังแนะนำหุ้น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากได้ประโยชน์จากการเร่งประมูลโครงการขนาดใหญ่ช่วยเติม backlog อาทิ CK
นอกจากนี้ ทางฝ่ายวิจัย ยังจัดทำบทวิเคราะห์และประเมินผลภาพรวมผลการดำเนินงานหุ้นในกลุ่ม mai โดยประเมินถึงผลประกอบการด้านกำไรที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้นจึงแนะนำ หุ้น DOD ให้ราคา 17.50 บาท โดยคาดกำไรสุทธิในช่วงครึ่งหลังปีนี้ เติบโตราว 200% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการมีลูกค้ารายใหม่ที่คาดจะเริ่มผลิตได้ในช่วงปลายไตรมาส 3/61 , หุ้น XO ราคาเหมาะสม 13 บาท คาดอัตรากำไรขั้นต้นตั้งแต่ไตรมาส 3/61 จะปรับตัวขึ้นราว 2-3% สู่ระดับ 39-40% หนุนกำไรปี 2561 เติบโต 210%
หุ้น CHAYO ราคาเหมาะสม 4 บาท คาดกำไรสุทธิเติบโต 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรับรู้รายได้กองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพมีหลักประกันในครึ่งหลังปีนี้ , หุ้น TACC ราคาเหมาะสม 5 บาท คาดว่ากำไรในช่วงครึ่งหลังปีนี้ จะเริ่มทยอยเห็นการพลิกฟื้นจากฐานที่ต่ำในครึ่งปีแรก และพลิกกลับมาเติบโตได้ในปี 2562 , หุ้น SSP ราคาเหมาะสม 11.20 คาดแนวโน้มกำไรสุทธิครึ่งหลังปีนี้ เติบโต 14% จากช่วงครึ่งปีแรก จากโครงการที่เริ่มเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่ 1 ส.ค. และโครงการอื่น ๆ จะทำได้ตามกำหนดการ มีบางโครงการเร็วกว่ากำหนด หุ้น JKN ราคาเหมาะสม 13.40 บาท กลยุทธ์มุ่งส่งออก Content ลูกค้า CLMV หนุนรายได้ส่งออกปี 61 โตเกินเป้า 120 ล้านบาท และหุ้น AUCT ราคาเหมาะสม 8.25 บาท คาดยอดขายครึ่งหลังปีนี้ จะเร่งตัวขึ้นจากครึ่งปีแรก ตามปัจจัยฤดูกาล ประกอบกับยอดขายรถใหม่ภายในประเทศปีนี้เติบโตดี