OISHI เผยกลุ่มเจริญโอนหุ้นภายใน/ปี 51รุกหนักธุรกิจอาหารแบรนด์เก่า-ใหม่

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 4, 2008 09:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

         บมจ.โออิชิ กรุ๊ป (OISHI) ระบุกรณี"นครชื่น"ขายหุ้นเปลี่ยนมือไปให้"ยอดกิจธุรกิจ"ไม่กระทบกระเทือน เพราะผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ก็ยังคงเป็นบริษัทในเครือ"เสี่ยเจริญ" ทำให้โครงสร้างการดำเนินธุรกิจยังเหมือนเดิม โดยปีนี้เดินหน้ารุกธุรกิจอาหารเต็มสูบ ดันสัดส่วนรายได้ทั้งแบรนด์เก่าแบรนด์ใหม่"ไมโดะ โอกินิ โชกุโด"ที่เพิ่งซื้อแฟรนไชส์ใหม่จากญี่ปุ่น คาดเปิดสาขาแรกราวปลายไตรมาส 1/51 ถึงต้นไตรมาส 2/51 นี้แน่นอน
"ยอดกิจธุรกิจก็เป็นบริษัทในเครือคุณเจริญเหมือนกัน แต่เปลี่ยนด้วยเหตุผลอะไรผมก็ไม่ทราบ จริงๆแล้วทางนั้นก็แจ้งให้ทราบเหมือนกันว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไร"นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ OISHI กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
บริษัท นครชื่น จำกัด ขายหุ้น OISHI เมื่อวันที่ 26/12/2550 ในสัดส่วน 40.01% ให้กับบริษัท ยอดกิจธุรกิจ ซึ่งนายตัน กล่าวว่า ทั้งสองบริษัทเป็นเครือข่ายธุรกิจของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของเบียร์ช้าง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่มีผลกระทบต่อการบริหารงานของ OISHI และโครงสร้างการบริหารงานทุกอย่างใน OISHI ยังเหมือนเดิม
*ลุยปรับเพิ่มสัดส่วนรายได้อาหาร/ดันรายได้ปีนี้โต 20%
นายตัน กล่าวถึงแผนงานของ OISHI ปี 51 ว่า บริษัทมีแผนจะขยายสาขาร้านอาหาร 20 สาขา ใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้จะรวมถึงร้าน"ไมโดะ โอกินิ โชกุโด"ซึ่งเป็นเฟรนไชส์ใหม่ที่เพิ่งซื้อมาจากประเทศญี่ปุ่น โดยเป็นร้านอาหารกึ่งฟาสต์ฟู้ดที่บริการตัวเอง
"ปีนี้มีแผนจะเปิดไมโดะฯ จำนวน 5 สาขา โดยสาขาแรกกำลังอยู่ระหว่างตัดสินใจเรื่องทำเล และกำลังเจรจาเรื่องค่าเช่าพื้นที่ แต่คาดว่าปลาย Q1 ถึงต้น Q2 น่าจะเปิดสาขาแรกได้ และมั่นใจว่าจะช่วยให้ OISHI ขยายสาขาร้านสาขาได้เร็วขึ้น เพราะไมโดะฯเป็นอาหารญี่ปุ่นแบบบริการตนเองกึ่งฟาสต์ฟู้ดใช้พื้นที่ประมาณ 100 ตารางเมตร ขณะที่โออิชิ เอ็กซ์เพรส ขยายสาขาแต่ละทีต้องใช้พื้นที่ 500-600 ตารางเมตร"นายตัน กล่าว
นายตัน กล่าวว่า บริษัทกำลังปรับสัดส่วนรายได้ระหว่างธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารอยู่ที่ 70:30 จาก 80:20 และเป้าหมายถัดไปคือ 60:40 ในอนาคตภายใน 1-2 ปี
"สมัยก่อนสัดส่วนของชาเขียว 80% อาหาร 20% แต่เราจะพยายามทำให้เครื่องดื่มกับอาหารอยู่ที่ 60:40 ภายใน 1-2 ปีนี้ เพื่อลดความเสี่ยงในช่วงที่ยอดขายชาเขียวตก ซึ่งตอนนี้สัดส่วนใกล้ๆ 70:30 แล้ว แต่ไม่มีแผนจะทำให้เป็น 50:50 เพราะเครื่องดื่มเราก็ยังขยายอยู่และเป็น Mass ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีสาขา แค่เราออกสินค้าใหม่ยอดขายก็จะเพิ่มขึ้น"นายตัน กล่าว
นายตัน ยังแสดงความมั่นใจว่า ภาวะเศรษฐกิจปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว ยิ่งการเมืองนิ่งทุกอย่างดีขึ้น ต้นทุนไม่แพงขึ้นก็อาจจะเป็นโอกาสของคนที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง
"โอกาสเป็นของคนที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง ถ้าคนอื่นลุยผมก็ลุย ซึ่งเป้าหมายที่เราวางไว้คือรายได้ปีนี้น่าจะดีขึ้น 20% จากปี 50 ซึ่งเป้า 4 พันล้านบาทก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง"นายตัน กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ