นางพรธิดา บุญสา กรรมการบริหารและรองกรรมการผู้จัดการสายการเงิน บมจ.โอสถสภา (OSP) เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลประกอบการทั้งในแง่รายได้และกำไรปีนี้จะดีกว่าปีก่อน ที่มีรายได้ 2.6 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2.83 พันล้านบาท โดยมองว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกหลังจากโรงงานผลิตขวดแก้วกลับมาดำเนินการได้ปกติจากที่ปิดปรับปรุงไปในช่วงครึ่งปีแรก ส่งผลให้บริษัทสามารถผลิตขวดได้บางลงแต่คุณภาพเท่าเดิม และต้นทุนวัตถุดิบอย่างเศษแก้วมีราคาลดลงด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการบริหารจัดการต้นทุนด้านต่าง ๆ ที่ดีมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ บริษัทยังมองว่ากำลังซื้อของคนในประเทศจะปรับตัวดีขึ้นในปีนี้ ตามการเติบโตของเศรษฐกิจไทย หลังจากการส่งออกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และภาครัฐมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ก็เชื่อว่าจะส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนในประเทศปรับตัวดีขึ้นอีก
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าใน 3-5 ปี (ปี 62-66) สัดส่วนรายได้จากการส่งออกจะปรับตัวสูงขึ้นเป็น 20-30% จากปัจจุบันอยู่ที่ 16% โดยบริษัทยังศึกษาการขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น รวมไปถึงเวียดนามและจีน ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนการขยายตลาดได้ในปี 62 จากปัจจุบันบริษัทมีการส่งออกไปแล้วกว่า 25 ประเทศ อาทิ สปป.ลาว กัมพูชา เมียนมา เป็นต้น
ด้านนายเพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานคณะกรรมการบริหาร ของ OSP กล่าวว่า หลังจากที่ได้เงินจากการเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) แล้วบริษัทจะนำไปพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพในการเติบโตของบริษัทต่อไป โดยยืนยันว่าจะใช้เงินในการลงทุนอย่างเหมาะสม โดยในกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care) บริษัทก็จะเน้นการขยายตลาดมากขึ้น และออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้นด้วย โดยปัจจุบันธุรกิจนี้มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 9-10%
"ผมยืนยันว่าจะนำเงินจากการขาย IPO ในครั้งนี้ไปใช้ในทางที่เหมาะสมที่สุด และเราเตรียมขยายตลาดไปต่างประเทศมากขึ้น แต่ในเวลาเดียวกันเราก็จะทำให้ตลาดในประเทศมีความเข้มแข็งไปด้วย ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าผลประกอบการของเราจะเติบโตไปในทุก ๆ ปี"นายเพชร กล่าว
วันนี้หุ้น OSP เข้าทำการซื้อขายใน SET เป็นวันแรก หลังจากที่เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 603.75 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 25 บาท โดยแบ่งเป็นหุ้นเพิ่มทุน 506.75 ล้านหุ้น และหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิม 97 ล้านหุ้น โดยการขายหุ้น IPO ในส่วนของหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ คิดเป็นมูลค่าระดมทุนที่บริษัทได้รับราว 1.27 หมื่นล้านบาท ขณะที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (market capitalization) ประมาณ 7.5 หมื่นล้านบาท ณ ราคาที่เสนอขาย ส่งผลให้ OSP เป็นหุ้นที่ใหญ่ที่สุดที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 61 ณ วันที่ OSP เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันแรก
OSP เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังภายใต้ ตราสินค้า เช่น เอ็ม-150 ลิโพ เป็นต้น เครื่องดื่มเกลือแร่ และกาแฟพร้อมดื่ม และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลภายใต้ตราสินค้าเบบี้มายด์ และทเวลฟ์พลัส นอกจากนี้ ยังให้บริการบริหารจัดการด้านซัพพลายเชน ได้แก่ บริการผลิตสินค้าบรรจุภัณฑ์ และจัดจำหน่ายสินค้าให้กับบุคคลภายนอก และกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ได้แก่ ธุรกิจผลิตภัณฑ์ ลูกอมภายใต้แบรนด์ โอเล่ และโบตัน