นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู (BANPU) ยอมรับว่า ในปี 50 รายได้ของบริษัทอาจลดลงจากปีก่อนประมาณ 7% มาอยู่ที่ราว 3 หมื่นล้านบาท จากผลกระทบการแข็งค่าของเงินบาท แต่เชื่อว่าในปี 51 รายได้น่าจะเติบโตได้มากกว่า 12% ตามทิศทางราคาถ่านหิน
ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการประเมินแผนงานและการลงทุน โดยพบว่าราคาถ่านหินปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 50 เหรียญ/ตัน ซึ่งสูงกว่าปี 50 ที่อยู่ที่ 40 เหรียญ/ตัน จากปัจจัยดังกล่าวทำให้มองว่ารายได้ในปี 51 จะมากขึ้นจากปี 50 นอกจากนี้ ประเมินว่าราคาถ่านหินใน 1-2 เดือนยังมีแนวโน้มปรับขึ้นสูงอยู่ แต่ในส่วนของปริมาณการใช้ ยังคงอยู่ในอัตราที่ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 20 ล้านตัน/ปี
ในปี 51 บริษัทวางแผนลงทุนรวม 330 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็น การลงทุนถ่านหินและโรงไฟฟ้าในจีน รวม 180 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนการลงทุนในอินโดนีเซีย 150 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งการขยายท่าเรือ หรือการสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก เพื่อใช้และการขยายบารินโต อีกทั้งยังอยู่ระหว่างการศึกษาในการซื้อแหล่งถ่านหินในอินโดนีเซียเพิ่มอีก เพื่อรองรับความต้องการถ่านหินในอนาคต
นายชนินท์ กล่าวต่อว่า เม็ดเงินที่จะใช้ในการลงทุนจะมาจากเงินกู้ กระแสเงินสด และเม็ดเงินที่บริษัทได้รับคืนเงินกู้จากบริษัทลูกที่อินโดฯ 110 ล้านเหรียญสรอ.
สำหรับภาพรวมของธุรกิจในปีนี้จะเติบโต เนื่องจากราคาพลังงานที่มีแนวโน้มปรับขึ้นสูง โดยเฉพาะราคาน้ำมัน อีกทั้งความต้องการพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 50 ขณะเดียวกันกระแสเงินสดของบริษัทในปีนี้จะมาจากถ่านหินมากขึ้น โดยสัดส่วนจะเป็นธุรกิจถ่านหิน 50% และธุรกิจไฟฟ้า 50% จากเดิมที่มีสัดส่วน 30:70 ในปี 50
"ในปีนี้ภาพรวมของบ้านปูจะไปได้สวย เพราะจากความต้องการพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นและเรายังได้ผลดีจากราคาถ่านหินที่เพิ่มสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเราก็จะพยายามรักษา D/E ที่มีอยู่ 0.6 เท่า ณ ก.ย.ให้ลดลง" นายชนินท์ กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--