นายสถาพร อมรวรพักตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บมจ.ไรมอน แลนด์ (RML) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาสที่ 4/61 จะเติบโตสูงสุดของปี จากการรับรู้ยอดขายรอโอน (backlog) ที่มีอยู่รวว 6.3 พันล้านบาท แบ่งเป็น backlog ของ RML จำนวน 5.6 พันล้านบาท ทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ราว 300-500 ล้านบาท และ backlog ของโครงการที่ซื้อมาจากบริษัท เคพีเอ็น แลนด์ (KPNL) จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Diplomat 39 และโครงการ Diplomat สาทร ซึ่งมี backlog รวมอยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท ทยอยรับรู้เป็นรายได้ภายในปีนี้ทั้งหมด
นายเอเดรียน ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RML เปิดเผยถึงกรณีที่ผู้ถือหุ้น KPNL ได้ยื่นฟ้องศาลแพ่งให้ดำเนินคดีในข้อหาละเมิดและใช้สิทธิโดยไม่สุจริตในการจัดการบริษัท กับบริษัท เคพีเอ็น โฮลดิ้ง จำกัด (KPNH) ว่า RML เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อกระบวนการเข้าลงทุนของบริษัท และคาดว่าการโอนกิจการจะแล้วเสร็จภายในปี 61 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการของผู้ตรวจสอบบัญชี
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนเข้าซื้อทรัพย์สินและกิจการของ KPNL ตามแผนต่อไป และเชื่อว่าจะไม่ติดปัญหาจากกรณีดังกล่าว ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ขณะที่มองว่าปัญหาดังกล่าวของทาง KPNL ถือเป็นปัญหาภายในครอบครัว
สำหรับในวันนี้ บริษัท ได้นำเสนอ 2 โครงการใหม่บนทำเลศักยภาพใจกลางเมือง คือ "The Estelle Phrom Phong" (ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์) ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 26 ใกล้ BTS สถานีพร้อมพงษ์ ในราคาเริ่มต้น 15.5 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 5 พันล้านบาท และ "TAIT 12" (เทตต์ ทเวลฟ์) ตั้งอยู่ในซอยสาทร 12 ในราคาเริ่มต้น 7.6 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 4.2 พันล้านบาท โดยเป็นความร่วมมือกับโตเกียว ทาเทโมโนะ "โตเกียว ทาเทโมโนะ มีประสบการณ์ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มายาวนานกว่า 100 ปี เราทำงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อหวังให้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ในปีหน้าเราได้วางแผนเปิดตัวโครงการอย่างน้อย 1 โครงการร่วมกัน และไรมอน แลนด์ ได้วางเป้าหมายการเปิดตัวโครงการอย่างน้อย 2 โครงการต่อปี" นายเอเดรียน กล่าว
นายลี กล่าวว่า ทั้ง 2 โครงการ ตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูง และมีคุณภาพ อีกทั้งได้ 2 บริษัทที่มีแบรนด์ที่แข็งแรงในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่ละโปรเจ็คนำเสนอไอเดียและกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน จึงเชื่อว่าทั้ง 2 โครงการนี้ เป็นตัวแทนที่ดีที่สุด ไม่เพียงแต่ในด้านมูลค่าเท่านั้น แต่ยังมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ดีและทำเลที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน จึงมั่นใจว่าโครงการจะมอบผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่หุ้นส่วนอีกด้วย
นายลี เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 2 โครงการร่วมทุนกับโตเกียว ทาเทโมโนะ ในช่วงพรีเซลราว 30-40% จากมองว่ามีความต้องการซื้อสูง ซึ่งคาดว่าสัดส่วนลูกค้าไทยจะอยู่ที่ 51% และลูกค้าต่างชาติ 49% และจะมีความร่วมมือในการแนะนำกลุ่มลูกค้าจากทางญี่ปุ่นด้วย โดยคาดว่าจะสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จได้ภายในปี 65
ขณะเดียวกัน บริษัทไม่มีความกังวลจากกรณีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการควบคุมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังไม่เห็นผลกระทบเนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าเป็นคนไทยระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง และมีฐานลูกค้าต่างชาติที่แข็งแรง ประกอบกับบริษัทมีการปรับกลยุทธ์ด้านราคา โดยมีการปรับราคาขายลงจากเดิมแต่ยังควบคุมให้มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับ 25-30% อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจในอนาคตเนื่องจากมาตรการดังกล่าวจะส่งผลต่อเศรษฐกิจมหภาค