ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 250 จุดเมื่อคืนนี้ (4 ม.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานใหม่นอกภาคการเกษตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด และอัตราว่างงานเพิ่มขึ้นสูงเกินคาด นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นอินเทล คอร์ป
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลง 256.54 จุด หรือ 1.96% แตะระดับ 12,800.18 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 35.53 จุด หรือ 2.46% แตะระดับ 1,411.63 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 2,504.65 จุด ลดลง 98.03 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 4.05 พันล้านหุ้น เมื่อเทียบกับวันพฤหัสบดีที่ 3.30 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 3 ต่อ 1
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานใหม่นอกภาคการเกษตรเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้นเพียง 18,000 อัตรา ซึ่งเป็นสถิติที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2546 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 70,000 อัตรา
ขณะที่อัตราว่างงานของสหรัฐในเดือนธ.ค.พุ่งขึ้นแตะระดับ 5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2548 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.8%
นายโจว บาเลสตริโน นักวิเคราะห์จากบริษัทเฟเดอเรทเต็ด อินเวสเตอร์สกล่าวว่า "นักลงทุนกังวลว่าตลาดแรงงานที่อ่อนแอของสหรัฐอาจส่งผลกระทบต่อตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคและอาจทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย ทั้งนี้ แม้ดัชนีภาคบริการที่เพิ่มขึ้นเกินคาดของสหรัฐจะช่วยสกัดแรงขายเข้าไว้ได้บ้าง แต่ก็ไม่สามารถผ่อนคลายความวิตกกังวลของนักลงทุนและไม่สามารถหนุนตลาดให้ปิดในแดนบวกได้"
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า "สหรัฐมีอัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นในธุรกิจบริการ ซึ่งรวมถึงการบริการทางเทคนิคและบุคลากร การบริการด้านสุขภาพและอาหาร แต่การจ้างงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างและภาคการผลิตปรับตัวลดลง"
ส่วนตลอดปีพ.ศ.2550 ที่ผ่านมานั้น สหรัฐมีการจ้างงานทั้งสิ้น 1.33 ล้านอัตรา ขณะที่อัตราว่างงานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.6%ต่อเดือน ซึ่งเท่ากับในปีพ.ศ.2549
เมื่อวานนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกแถลงการณ์ว่า ธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐเข้ากู้ยืมเงินโดยตรงจากเฟดในช่วงสัปดาห์ที่สิ้นสุดในวันพุธที่ 2 ม.ค. ในระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์โจมตีสหรัฐในวันที่ 11 ก.ย.2544 เป็นต้นมา
โดยปริมาณการกู้ยืมโดยตรงจากเฟดสำหรับลูกค้าชั้นดีอยู่ที่ 5.770 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นยอดการกู้ยืมที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 12 ก.ย.2544
หุ้นอินเทลปิดร่วงลง 8.1% หลังจากนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนประกาศลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นอินเทลลงสู่ระดับ "neutral" จากเดิมที่ระดับ "overweight" ซึ่งเป็นผลมาจากยอดสั่งซื้อชิปคอมพิวเตอร์ที่ลดลงในช่วงไตรมาส 4 และปริมาณสินค้าในคลังสำรองที่เพิ่มขึ้น
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--