SELIC คาดกำไรปี 62 นิวไฮ-รายได้โตกว่า 10% หลังควบรวมกลุ่ม PMC เสร็จสิ้นต้นปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 22, 2018 17:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีลิค คอร์พ (SELIC) เปิดเผยว่า การเข้าซื้อกิจการ บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรีลส์ จำกัด (PMCT) และซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดใน บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรีลส์ พีทีอี ลิมิเตด (PMCS) รวมมูลค่า 1.05 พันล้านบาท จะแล้วเสร็จในวันที่ 4 ม.ค.62 ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้บริษัทมีรายได้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญมากกว่า 10% และกำไรทำสถิติสูงสุด (นิวไฮ)

"ที่เราเข้าไปซื้อครั้งนี้ เรามองว่าเป็นโอกาสที่ดี และ PMC จะเป็นตัวที่เสริมกันและกัน เป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้ เพิ่มกำไร และยังเป็นเวทีใหม่ในการที่เราจะเข้าไปสร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ถือเป็นกลยุทธ์ใหม่ในการดำเนินธุรกิจที่เราเลือก และหวังว่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อผู้ถือหุ้นของบริษัท" นายเอก กล่าว

ทั้งนี้ PMCT ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายสติกเกอร์ในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยใช้กาว กระดาษ และฟิล์ม เป็นวัตถุดิบหลัก ส่วน PMCS ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายสติกเกอร์ในประเทศในสิงคโปร์และต่างประเทศ โดยจะทำการสั่งซื้อสติกเกอร์สำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูปจาก PMCT และนำไปผลิตต่อตามคำสั่งซื้อของลูกค้า

นายเอก กล่าวว่า การที่มีธุรกิจจากกลุ่ม PMC เข้ามาจะเป็นต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เนื่องจาก PMC ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายสติกเกอร์ในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยใช้กาวกระดาษ และฟิล์ม เป็นวัตถุดิบหลัก ทำให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยที่ลูกค้าในต่างประเทศบริษัทสามารถขยายในประเทศใหม่ๆได้ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ทำให้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศของบริษัทสามารถเพิ่มเป็นมากกว่า 40-45% ในปัจจุบัน สร้างการเติบโตให้กับผลการดำเนินงาน

ขณะเดียวกัน บริษัทยังมองว่าการเข้าซื้อกิจการ PMC จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการต่อยอดพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์กาวและผลิตภัณฑ์สติกเกอร์ เช่น กาว ชนิด UV-curable กาวประเภท PU based laminating สติกเกอร์ทนความร้อน สติกเกอร์ประเภท removable เป็นต้น ถือเป็นการเพิ่มความสามารถในการผลิตและความสามารถในการแข่งขันของบริษัท ด้วยเพิ่มโอกาสในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ รวมถึงการให้บริการที่ครอบคลุมความต้องการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และกระจายฐานลูกค้าไปยังอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น

ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคสูงเป็นอันดับ 2 รองจากกลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้าและเครื่องหนัง ซึ่งกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการใช้สติกเกอร์เป็นจำนวนมาก และการขยายตัวของโลจิสติกส์จะเป็นการช่วยหนุนการเติบโตของความต้องการใช้สติกเกอร์ ซึ่งคาดว่าในปี 65 ตลาดรวมจะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 4.05 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากปีนี้ 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

นอกจากนี้ หลังจากเข้าซื้อกิจการ PMC จะทำให้มูลค่าสินทรัพย์ของบริษัทเพิ่มขึ้นแตะ 800-900 ล้านบาท จากเดิม 480 ล้านบาท และการกู้เงินจากสถาบันการเงินจำนวนไม่เกิน 900 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ชำระค่าหุ้นส่วนใหญ่ จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของทุน (D/E) จะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 2% จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.33% โดยแบ่งการชำระคืนหนี้เป็น 3 งวด ได้แก่ ต้นปี 62, ปลายปี 62 และในช่วงปี 63 ขณะที่เงินอีกส่วนหนึ่งในการซื้อกิจการอีกส่วนหนึ่งมาจากกระแสเงินสด รวมถึงเงินจากการระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่เหลืออยู่ 53 ล้านบาท รวมมูลค่าการซื้อกิจการ PMC 100% ทั้งหมด 1.05 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเข้าซื้อกิจการครั้งแรกของบริษัท ส่วนดีลอื่นๆบริษัทยังไม่มีการพิจารณา

ส่วนผลประกอบการในปีนี้ บริษัทยังมั่นใจว่าปีนี้รายได้น่าจะเติบโต 10% จาก 595 ล้านบาทในปีก่อน จากการขยายตลาดอุตสาหกรรมใหม่ๆ และรักษาฐานลูกค้าเดิม ซึ่งคาดว่าผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปีนี้จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงของไฮซีซั่นของธุรกิจที่จะมีการใช้กาวอุตสาหกรรมค่อนข้างมาก เห็นได้จากภาคเอกชนเริ่มมีการลงทุนมากขึ้นในประเทศและการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ขณะที่กำลังการผลิตของบริษัทยังเพียงพอรองรับกับความต้องการของตลาดและความต้องการสินค้าใหม่ ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 9,000 ตันต่อปี และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 70%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ