นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า บล.กสิกรไทย ยังคงเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ไว้ที่ 1,805 จุด แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาดัชนีจะปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมาก ส่งผลให้ระดับ P/E ลดลงมาอยู่ที่ 14.5 เท่า โดยมองว่าปัจจัยลบต่างๆ มีโอกาสคลี่คลายในเดือน พ.ย.61 โดยเริ่มจากสถานการณ์เงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะบรรเทาลงตามการปรับลดลงของราคาน้ำมันที่เดือน ต.ค.61 ลดลงกว่า 9% และการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรับฯ มีท่าที่ปกป้องประเทศซาอุดิอาระเบีย ประเด็นการหายตัวไปของนายจามาล จาชอกกี อาจจะทำให้ความร่วมมือกับสหรัฐในการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพือลดแรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อ โดยล่าสุดมีการระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 1-2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะเดียวกันมองว่าการกล่าวถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 9 พ.ย.นี้ คาดว่าจะลดโทน Hawkish ลง หลังที่ผ่านมาถูกประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวโจมตีอยู่หลายครั้ง
ส่วนประเด็นเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศจีนและสหรัฐฯ มีโอกาสที่จะเกิดการเจรจาหลังจากการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐในวันที่ 6 พ.ย.นี้ โดยล่าสุดที่ปรึกษาทางเศรษฐกจิของสหรัฐฯ ได้ออกมากล่าวว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะมีการประชุมนอกรอบก่อนจะถึงการประชุม G20 ในวันที่ 30 พ.ย.61 ขณะที่ความเสี่ยงด้านภูมิศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียเป็นเพียงเกมการเมืองเรียกคะแนนเสียงก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ เท่านั้น ขณะที่ประเด็น BREXIT คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในเดือน พ.ย.61 ส่วนความกังวลเกี่ยวกับการจัดทำร่างงบประมาณขาดดุลงบประมาณจำนวนมากของอิตาลี น่าจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
สำหรับเงินทุนต่างชาติที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง และรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าจะลดลงแล้ว เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติลดลงมาเหลืออยู่ที่ 30.7% โดยปัจจุบันประเทศไทยเองถือว่ามีเศรษฐกจิที่เข้มแข็งและอยู่ในช่วงของการขยายตัวของเศรษฐกิจ จึงมองว่านักลงทุนไม่จำเป็นที่จะเทขายหุ้นไทยออกไป แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าอาจจะมีแรงขายอยู่บ้าง ซึ่งหากสัดส่วนลดลงไปเหลือ 30.6% จะต้องมีแรงขายออกอีกราว 60,000 ล้านบาท และถือว่าเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 14 ปี
นายประกิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปีจะมีแรงหนุนเข้ามาเพิ่มเติมจากแรงซื้อของกองทุน LTF ที่คาดว่าจะเข้ามาในเดือน ธ.ค.61 กว่า 30,000 ล้านบาท และรัฐบาลเตรียมที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่โดยปกติแล้วจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน
ทั้งนี้คาดว่ารัฐบาลมีโอกาสที่จะตัดสินใจยกเลิกมาตรการลดหย่อนภาษีจากกองทุน LTF ซึ่งอาจจะส่งผลให้มีการขายออกจากผู้ถือกองทุน โดยผู้ที่ซื้อลงทุนก่อนปี 57 มีโอกาสขายออกในปี 62 มูลค่าทั้งหมดที่อยู่ 1.4 แสนล้านบาท โดยผู้ที่ลงทุนในปีเข้าลงทุนในปี 58-59 สามารถขายออกได้ในปี 63-64 เป็นวงเงิน 1.2 แสนล้านบาท และผู้ที่เข้าลงทุนในปี 60-61 มีวงเงินสามารถขายออกได้ในปี 65-66 มูลค่าราว 9 หมื่นล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการยกเลิกจะดังกล่าว จะมีการตั้งกองทุนหรือการมีมาตรการเข้ามาดูแล เพื่อไม่ให้นักลงทุนเกิดความกังวลเกี่ยวกับมาตรการที่จะหายไป
นอกจากนี้คาดว่าการคุมเข้มปล่อยกู้บ้านหลังที่ 2 บังคับวางเงินดาวเป็น 20% จะบังคับใช้ในช่วงกลางปี 62 จากเดิมที่คาดว่าจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ต้นปี 62 โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วง 2 สัปดาห์นี้ ซึ่งเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ต้องการที่จะให้ประชาชนรับทราบและเตรียมตัวกับมาตรการดังกล่าวก่อน
พร้อมกันนี้การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ แนะนำให้เข้าลงทุนในหุ้นที่มีผลประกอบการครึ่งปีหลังออกมาดี คือ STEC, GFPT, MEGA, TISCO