หุ้น TIGER ปิดเทรดวันแรกที่ 3.68 บาท เพิ่มขึ้น 0.03 บาท (+0.82%) จากราคาขาย IPO ที่ 3.65 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 387.66 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 3.84 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 3.88 บาท และราคาลงต่ำสุด 3.50 บาท
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯประเมินมูลค่าที่เหมาะสมเบื้องต้นของบมจ. ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง (TIGER)ไว้ที่ 3.65 บาท สำหรับปี 2019F อ้างอิง PER ที่ 24 เท่า โดยเทียบจากค่า PER หุ้นที่มีธุรกิจใกล้เคียงกันและเป็นมูลค่าที่เหมาะสมของปี 2019F แล้ว โดยเรามองว่าจุดเด่นและความเสี่ยงสำคัญของ TIGER คืออัตรากำไรที่โดดเด่นกว่าคู่แข่งมากจากงานประเภทโรงแรมบูติคที่บริษัทมีความชำนาญ ทำให้เรามองว่าหากบริษัทไม่สามารถหางานใหม่ที่มีอัตรากำไรที่สูงได้จะส่งผลให้กำไรในอนาคตลดลง ณ วันที่ 30 มิ.ย. บริษัทมีงานในมือ 654 ล้านบาทและมีการพึ่งพาลูกค้ากลุ่ม เอส.พี.ที. พาโซย่า (SPT) และกลุ่มบริษัทเดอะบราเธอร์ส ดีเวลลอปเม้นท์คิดเป็นสัดส่วน 22.9% และ 23% ของงานในมือตามลำดับ
TIGER ประกอบธุรกิจการลงทุนในธุรกิจอื่น โดยในปัจจุบันบริษัทถือหุ้น 99.99% ในบริษัท ไทย อิงเกอร์ จำกัด (TEC) เป็นบริษัทแกนมีธุรกิจหลักคือรับเหมาก่อสร้างงานวิศวกรรมโยธาทุกประเภท รวมทั้งงานออกแบบวิศวกรรมและงานออกแบบสถาปัตยกรรม และยังมีธุรกิจสนับสนุนอื่นๆ เช่น 1) ทีอีจี อลูมินั่ม "TEA" ถือหุ้นโดย TEC 99% ประกอบธุรกิจออกแบบและผลิต พร้อมติดตั้งอุปกรณ์จากกระจกและอลูมิเนียมสำหรับงานสถาปัตยกรรม เช่นงานประตูและหน้าต่าง 2) ทีอี แมค "TEM" ถือหุ้น 70% โดย TEC ออกแบบและผลิตน้ำดีและน้ำเสียในอาคารบ้านพักเช่นสำนักงาน, โรงแรมและโรงงานรวมทั้งจัดหาและจำนหน่ายวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ
โครงการอนาคต : บริษัทมีแผนที่จะขยายธุรกิจบริการรับเหมาโครงการที่มีมูลค่ามากขึ้นและขนาดใหญ่ขึ้นแบ่งลูกค้าได้เป็น 2 กลุ่มคือ 1) กลุ่มงานภาคเอกชน ปัจจุบันบริษัท รับงานมูลค่า 200 ถึง 300 ล้านบาทโดยมีแผนที่จะรับงานขนาดใหญ่ขึ้นทำให้มองว่าการเข้าจดทะเบียนในตลาดจะช่วยเพิ่มน่าเชื่อถือของบริษัทและจะทำใหบริษัทรับงานที่ใหญ่ขึ้นได้ โดยจะเน้นรับงานแบบเบ็ดเสร็จ (Turnkey) โรงแรม, โรงพยาบาลและห้างสรรพสินค้าไปจนถึงคอนโด 2) งานภาครัฐ จากการพัฒนา EEC ทำให้บริษัทเห็นโอกาสในการเข้ารับงานของภาครัฐทำให้มีความจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น