นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด บริษัทในเครือบมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) เปิดเผยว่า แนวโน้มยอดขายในปี 61 คาดว่าจะทำได้เกินเป้าที่ตั้งไว้ 5.37 หมี่นล้านบาท มาเป็น 5.5 หมี่นล้านบาท หลังจากที่ยอดขายในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาทำได้แล้วราว 4 หมื่นล้านบาท ทำให้บริษัทมั่นใจว่ายอดขายมีโอกาสเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 4/61 บริษัทจะเปิดโครงการใหม่อีก 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.2 หมื่นล้านบาท ทั่งโครงการของกลุ่ม Value และ Premium แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 4 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 10 โครงการ และบ้านเดี่ยว 2 โครงการ ซึ่งจะช่วยเข้ามาผลักดันยอดขายให้เพิ่มขึ้นได้อีก
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีการออกแคมเปญ Big Sale Ever ที่ใช้งบการตลาด 200 ล้านบาท เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าที่สนใจซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการของพฤกษาตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น หรือลูกค้าที่กำลังจะโอนจะตัดสินใจโอนเร็วขึ้น พรัอมกับมุ่งหวังที่จะช่วยระบายสต็อกโครงการของบริษัทที่มีอยู่ราว 1 หมื่นล้านบาท ให้สามารถสร้างรายได้คืนกลับมาให้กับบริษัท โดยคาดหวังจะสามารถระบายสต็อกได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ 5 พันล้านบาท
โดยปัจจัยข้างต้นบริษัทคาดว่าแนวโน้มของผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/61 จะเติบโตดีกว่าไตรมาส 3/61 และช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเปิดโครงการที่คาดว่าจะสร้างยอดขายได้ดี และการโอนโครงการที่สร้างเสร็จใหม่และโครงการที่เป็นสต็อกจะเร่งตัวขึ้น จากแคมเปญการตลาดที่ออกมากระตุ้น และลูกค้าจะเร่งโอนก่อนการบังคับใช้มาตราการควบคุมสินเชื่อของธนาคาแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งจะหนุนให้ผลงานในไตรมาส 4/61 ของบริษัทโดดเด่น และยอดโอนในปีนี้ยังมั่นใจทำได้ตามเป้า 4.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งไนไตรมาส 4/61 จะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาอีก 1.17 หมื่นล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมด 5.37 หมื่นล้านบาท
ล่าสุดบริษัทเตรียมเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม เดอะทรี หัวหมาก มูลค่า 2 พันล้านบาท ซึ่งจะเปิดขายรอบ V-VIP ในวันที่ 27 ต.ค.นี้ และจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในสัปดาห์ถัดไป โดยตั้งเป้าหมายจะมียอดในช่วงงานพรีเซลที่ 80% และคาดว่าจสามารถปิดการขายได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยโครงการดังกล่าวเป็นโครงการคอนโดมิเนียม บนพื้นที่ 3 ไร่ 2 งาน ประกอบด้วย อาคาร Third Place สูง 4 ชั้น 1 อาคาร อาคารชุดพักอาศัยสูง 31 ชั้น 3 อาคาร และอาคารจอดรถสูง 10 ชั้น 1 อาคาร รวมห้องชุดพักอาศัยจำนวน 590 ยูนิต ขนาดห้องชุดพักอาศัยตั้งแต่ 23-42.94 ตารางเมตร ราคาขายตั้งแต่ 1.99-5.2 ล้านบาท หรือมีราคาขายเฉลี่ย 95,000 บาท/ตารางเมตร
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 61 คาดว่าจะเติบโตขึ้นมากกว่าปกติ 10-20% มาจากปัจจัยการเร่งโอนของลูกค้าก่อนที่มาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีผลบังคับใช้ในต้นปี 62 ประกอบกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายต่างระบายสต็อกในช่วงไตรมาส 4/61 เป็นจำนวนมาก เพื่อสร้างรายได้กับคืนมาให้กับผู้ประกอบการที่ยังมีสต็อกเหลือขายอยู่ และมีการเปิดโครงการใหม่ในไตรมาสุดท้ายของปีนี้มากกว่าปกติ ทำให้ในช่วงไตรมาส 4/61 จะเห็นภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยเติบโตมากกว่าปกติ และคาดว่าภาพรวมทั้งปีจะเติบโตได้กว่า 10% หรือมีมูลค่ารวม 4.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 4.3 แสนล้านบาท
ส่วนอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทมีแนวโน้มลดลงมาเป็น 3-4% ในปัจจุบัน จากช่วงต้นปีที่ 4-5% เป็นผลมาจากการปรับระบบการพิจารณาลูกค้าในช่วงการขายที่มีการทำ Pre-approve ก่อน และบริษัทมีการขายโครงการแนวราบ โดยเฉพาะโครงการทาวน์เฮาส์เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่ต่ำ ประกอบกับการปรับให้พอร์ตโครงการมีความสมดุล โดยเน้นไปที่การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม High Rise มากขึ้นแทนคอนโดมิเนียม Low Rise ทำให้ลูกค้ามีระยะเวลาในการดาวน์มากขึ้น ส่วนโครงการแนวราบก็ขยายระยะเวลาการผ่อนดาวน์เป็น 3-4 เดือน ทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อลดลง