โบรกฯคาดหุ้นบันเทิงปีหนูสดใสจากความมั่นใจผู้บริโภค-เม็ดเงินโฆษณาพุ่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday January 7, 2008 11:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          โบรกเกอร์ มองหุ้นกลุ่มบันเทิงปีนี้โตกว่าปีก่อน หลังได้รับอานิสงค์จากเม็ดเงินโฆษณาที่น่าจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งอุตสาหกรรมเครื่องดื่มจะมีอัตราการใช้จ่ายด้านโฆษณาค่อนข้างมากจากกระแส Sport Market นอกจากนี้ยังมาจากความมั่นใจผู้บริโภคจะกลับมาได้หลังมีรัฐบาล และสินค้าประเภทแอลกอฮอล์น่าจะมีการโฆษณาส่งเสริมภาพลักษณ์ได้ 24 ชั่วโมง แต่ในการเข้าลงทุนก็ยังต้องพิจารณาปัจจัยด้านอื่นประกอบด้วย อาทิ เรื่องของพ.ร.บ.วิทยุโทรทัศน์เอง การเมือง และภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ 
น.ส.เรณู บรรดาศักดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา มองแนวโน้มหุ้นกลุ่มบันเทิงในปี 51 ว่า อัตราเติบโตของอุตสาหกรรมในปีนี้น่าจะโตได้ประมาณ 5-10% ดีกว่าปีที่ผ่านมาที่ Spending โตเพียง 2-3%
การกลับมาเติบโตได้ของอุตสาหกรรมบันเทิง มาจากความมั่นใจของผู้บริโภคที่คาดว่าจะกลับมา และสินค้าประเภทแอลกอฮอล์น่าจะมีการโฆษณาในลักษณะส่งเสริมภาพลักษณ์ได้ 24 ชั่วโมงรวมทั้งสถานีโทรทัศน์หลายๆช่องมีการปรับขึ้นราคาอัตราค่าโฆษณา ซึ่งหุ้นเด่นในหมวดนี้ มองบมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) และ บมจ.อสมท (MCOT) ที่น่าจะได้รับผลดีจากปัจจัยดังกล่าว
แต่ขณะที่ด้านหนึ่ง ทั้ง 2 รายอาจได้รับผลกระทบจากร่าง พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ใน 60 วัน หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ในส่วน MCOT มีความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายในการส่งเงินเข้ากองทุน 2% ของรายได้ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ซึ่ง AYS คาดว่าจะอยู่ที่ 2% ของรายได้ และอาจสูญเสียรายได้จากวิทยุ
ขณะที่ BEC มีความเสี่ยงว่าอาจสูญเสียรายได้จากวิทยุ 2 คลื่น จากปัจจุบันที่บริหารอยู่ 3 คลื่น ซึ่งจะกระทบต่อกำไรให้ลดลงประมาณ 4% จากประมาณการเดิม
อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวอาจจะมีผลบังคับใช้ไม่ทันในปีนี้ ดังนั้น BEC และ MCOT น่าจะยังมีแนวโน้มอัตราเติบโตที่ดีในแง่ของอัตราการใช้สื่อโฆษณา เพราะใน Sector นี้จากการที่ทีไอทีวีหายไป น่าจะทำให้ดีมานด์ความต้องการใช้สื่อโฆษณาน่าจะไหลมาที่สถานีโทรทัศน์ช่องอื่นๆ รวมถึง BEC และ MCOT
แต่หากจะเข้าลงทุนในหุ้น 2 ตัวนี้ แนะนำว่า ควรดูจังหวะเวลาให้ดี หากตัวไหนราคาปรับตัวลดลงมาและปัจจัยพื้นฐานเกื้อหนุน โดยเฉพาะในส่วนของ BEC ราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากแล้ว ราคาก็ใกล้ถึง Fair Value ที่ 29.50 บาท
"ถ้าจะเข้าลงทุนในหุ้น 2 ตัวนี้ ควรดูสถานการณ์ ดูภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งการเมืองด้วยว่าจะเป็นอย่างไรต่อ" นางสาวเรณู กล่าว
นายเกรียงไกร ทำนุทัศน์ บล.ทรีนีตี้ แสดงทัศนะต่อหุ้นบันเทิงผ่านบทวิเคราะห์ ระบุว่า แนวโน้มการใช้สื่อโฆษณาน่าจะเริ่มฟื้นตัวกลับมาอีกครั้งในช่วงเดือนมีนาคม โดยเชื่อว่าปีนี้อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม โดยเฉพาะเครื่องดื่มชูกำลัง และเครื่องดื่ม Soft Drink จะมีอัตราการใช้จ่ายด้านโฆษณาค่อนข้างมากจากกระแส Sport Market จากการแข่งขันฟุตบอลยูโร'2008
"ในช่วง 1Q/51 แนวโน้มการใช้สื่อโฆษณาคาดว่าจะชะลอตัว เนื่องจากในช่วงเดือนมกราคมเป็นช่วงที่ Seasonal low ของการใช้จ่ายในแต่ละช่วงปี นอกจากนี้ยังมีวาระพิเศษจากการงดกิจกรรมรื่นเริง"นายเกรียงไกร ระบุ
นายเกรียงไกร ระบุว่า แม้ว่าหุ้นในกลุ่มบันเทิงหลายตัวจะยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน แต่ระยะสั้นคาดว่า แนวโน้มการใช้จ่ายด้านโฆษณาในช่วง 1Q/51 จะยังไม่ฟื้นตัวตามที่คาดไว้ จึงแนะนำลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มดังกล่าว โดย Top Pick ยังคงเป็น MAJOR(ราคาเป้าหมาย 21.10 บาท) และ BEC(ราคาเป้าหมาย 30 บาท) โดยแนะนำให้ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว"
ขณะที่บทวิเคราะห์ของ บล.ไซรัส เห็นว่า ธุรกิจโฆษณาพลิกฟื้น MCOT โตเด่นสุดและยังมีค่าพีอีต่ำสุด ให้น้ำหนักลงทุน "มากกว่าตลาด"(over weight)เพราะมูลค่าการใช้จ่ายด้านโฆษณาขยายตัวในระดับต่ำมา 3 ปีต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ปี 48-50 เริ่มมีสัญญาณดีขึ้นช่วงครึ่งหลังปีที่ผ่านมา และในปี 51 คาดว่าการเติบโตของมูลค่าตลาดโฆษณาน่าจะกลับมาโตเป็นตัวเลขสองหลัก
ทั้งนี้ กำไรของหุ้นกลุ่มบันเทิงในปี 51 จะเติบโต 19.2% ดีขึ้นจากปี 50 ที่คาดว่ากำไรจะเติบโตเพียง 3.2% โดย MCOT มีอัตราการโตของกำไรมากสุด กำไรสุทธิน่าจะเติบโตสูงถึง 22.9% เป็นผลจากการปรับผังรายการอีกครั้งต้นปี 51 พร้อมทั้งปรับขึ้นค่าโฆษณาเฉลี่ยประมาณ 10% บางรายการตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.50 และปรับขึ้นอีกประมาณ 10% บางรายการต้นปีนี้
BEC กำไรขยายตัวเพียง 8.2% เนื่องจากการใช้เวลาโฆษณาในช่วงละครหลังข่าว 20.30-22.30 น. ซึ่งเป็นรายได้หลักประมาณ 50% ของรายได้จากค่าโฆษณาทั้งหมด และเต็มมาตั้งแต่ไตรมาส 3/50 การขยายตัวของกำไรในปี 51 จึงมาจากการปรับค่าโฆษณาในช่วงละครหลังข่าวขึ้น 7.1% ตั้งแต่เดือน ม.ค.51 รวมทั้งตั้งสมมติฐานว่า BEC จะปรับราคาข่าว ทั้งเช้าและเย็นขึ้นอีกเล็กน้อยแล้ว
"แนะนำให้ขายหุ้น BEC และซื้อหุ้น MCOT แทน เนื่องจากจะมีกำไรเติบโตสูงสุดในกลุ่มแล้ว ยังมีค่าพีอีต่ำสุดในกลุ่มคือ 13.7 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าพีอีเฉลี่ยของกลุ่มที่ 17.5 เท่า ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลก็ดีกว่าบริษัทอื่นในกลุ่มเดียวกัน และหากเทียบบีอีซี พบว่าอัตราการขยายตัวของกำไร MCOT ปีนี้สูงกว่าบีอีซีเกือบ 3 เท่า"บล.ไซรัสระบุ
*โรงภาพยนตร์
นางสาวเรณู กล่าวว่า หุ้นที่โดดเด่นในกลุ่มนี้คงหนีไม่พ้น บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป(MAJOR)ก็ยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากจากปัจจัยที่ผู้บริโภคน่าจะมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว เพราะแม้สภาพเศรษฐกิจในปีที่แล้วจะไม่ค่อยดีนักแต่คนก็ยังเลือกการชมภาพยนตร์เป็นการผ่อนคลาย
ปี 50 มีภาพยนตร์ไทยเข้าฉายทั้งสิ้น 49 เรื่อง จากหลายค่าย อาทิ ค่ายสหมงคลฟิล์ม 15 เรื่อง, ค่ายพระนครฟิล์ม 7 เรื่อง, ค่ายอาร์เอส 5 เรื่อง, ไฟว์สตาร์และจีทีเอช ค่ายละ 4 เรื่อง เป็นต้น
และปีนี้ยังจะมีภาพยนตร์ใหม่ๆเข้าฉายอีกทั้งภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศ โดยภาพยนตร์ไทยที่มีโปรแกรมฉายแน่นอนแล้วในปีนี้มี 12 เรื่อง เฉพาะเดือนม.ค.51 เพียงเดือนเดียวจะมีภาพยนตร์ไทยเข้าฉาย 4 เรื่อง ได้แก่ "หม่ำเดียว หัวเหลี่ยมหัวแหลม", "สวย สิงห์ กระทิง แซ่บ", "รักสยามเท่าฟ้า" และ "สียามา" [ที่มา:เว็บไซต์สมาพันธ์ภาพยนตร์ไทย www.thaicinema.org
]
"เรายังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อสื่อโฆษณาในโรงภาพยนตร์ โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสื่อโฆษณาโรงภาพยนตร์สามารถเพิ่มสัดส่วน Market Share ได้เพิ่มสูงขึ้นและมีโอกาสในการเติบโตมากตามจำนวนสาขาโรงภาพยนตร์ที่เพิ่มขึ้น"นายเกรียงไกร กล่าว
*ค่ายเพลง
นางสาวเรณู กล่าวว่า ค่ายเพลงและวิทยุอย่างบมจ. จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY) และ บมจ. อาร์เอส (RS) ซึ่งเคยมีความถนัดด้านเพลงและสื่อวิทยุด้วยกันทั้งคู่ แต่ปัจจุบันแต่ละฝ่ายต่างเริ่มมองหาจุดแข็งของตนเองไม่เหมือนกัน อย่างปีนี้ RS หันไปให้ความสำคัญทางด้านกีฬาตอบรับกระแสฟุตบอลยูโร 2008 และฟุตบอลโลกปี 2010
ขณะที่ GRAMMY นอกจากเพลงและวิทยุที่ถนัด ระยะหลังก็ทำหลากหลายธุรกิจ มีครบเกือบทุกสื่อในแง่ของการเป็น Content Provider ทั้งโทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ ละครเวที ละครซิทคอม รวมทั้งขยายตลาดเพลงไปยังต่างประเทศด้วยการส่งศิลปินในสังกัดไปออกอัลบั้มชิมลางในเกาหลีและญี่ปุ่น อาทิ กอล์ฟ-ไมค์, เจมส์ เรืองศักดิ์, ไอซ์ ศรัณยู
"การส่งศิลปินไปออกอัลบั้มในต่างประเทศก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ เพียงแต่อาจจะต้องใช้เวลากว่าจะเห็นตัวเลขรายได้หรือผลตอบแทนชัดๆ"นักวิเคราะห์ กล่าว
นักวิเคราะห์ ยังคาดการณ์ถึงกระแสการมีพันธมิตรของหุ้นกลุ่มบันเทิงว่า อาจจะยังมีให้เห็น เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติของธุรกิจ เพราะหากบริษัทมีปัญหาธุรกิจ ก็อาจจำเป็นต้องลดทุน เพิ่มทุน หาธุรกิจเข้ามาเสริมเพื่อความอยู่รอด
ราคาหุ้นในกลุ่มบันเทิง ตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นปี 2550 มีความเปลี่ยนแปลง ดังนี้
หุ้น 3 ม.ค.50(บาท/หุ้น) 28 ธ.ค.50(บาท/หุ้น) เปลี่ยนแปลง(%)
BEC 20.50 28.75 +40.24
MCOT 22.50 25.50 +13.33
MAJOR 15.10 19.00 +25.83
GRAMMY 6.95 9.85 +41.73
RS 4.40 2.98 -32.27
WORK 21.70 19.50 -10.14

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ