นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น (SAMART) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิในปีนี้ แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกจะยังมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 169.27 ล้านบาท ซึ่งมีทิศทางที่ดีขึ้นจากทั้งปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 947.96 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯสามารถบริหารจัดการต้นทุนขาย และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดีขึ้น จากที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากธุรกิจดิจิทัล และการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับเงินกู้ในสกุลเงินดอลลาร์จากธุรกิจ Utilities and Transportation
ทั้งนี้บริษัทฯ คาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังนี้น่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก จากครึ่งปีแรกบริษัทฯมีรายได้อยู่ที่ 5,443.91 ล้านบาท จากธุรกิจดิจิทัล หรือ บมจ.สามารถ ดิจิตอล (SDC) ปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางธุรกิจ เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้สายธุรกิจดิจิทัลในระยะยาว อีกทั้งธุรกิจไอซีที ของบมจ.สามารถเทลคอม (SAMTEL) ก็คาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/61 มีแนวโน้มเติบโตดีกว่าไตรมาส 2/61 ที่มีรายได้อยู่ที่ 2,092 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามการรับรู้รายได้ในโครงการต่างๆมากขึ้น โดยปัจจุบัน SAMTEL มีงานในมือ (Backlog) ประมาณ 8,000-9000 ล้านบาท
สำหรับในช่วงที่เหลือของปีนี้ กลุ่ม SAMART ยังอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญารับงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ มูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถเห็นความชัดเจนได้ภายใน 3 สัปดาห์นี้ หรือช่วงต้นเดือนพ.ย.นี้ อีกทั้งบริษัทฯอยู่ระหว่างเตรียมเข้าประมูลงานโครงการภาครัฐ มูลค่ารวม 20,000-30,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าหากบริษัทฯได้รับงานเข้ามาเพิ่มเติมจะสามารถทำให้งานในมือ ของกลุ่มบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น แตะระดับ 20,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 61 จากปัจจุบัน บริษัทฯ มีงานในมือกว่า 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ภายในปีนี้ ประมาณ 30%
นายวัฒน์ชัย กล่าวว่า สำหรับแผนการนำบริษัทในกลุ่ม คือบริษัท สามารถ ทรานส์โซลูชั่น จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านบริการควบคุมจราจรทุกรูปแบบ รวมถึงประกอบกิจการที่เกี่ยวกับการขนส่งทุกประเภท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงานของที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) คือบล.บัวหลวง และ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) โดยคาดว่าจะสามารถยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ภายในเดือนม.ค.-ก.พ.ปี 62