สมาคมนักวิเคราะห์ฯ เชื่อ SET ไม่หลุด 1,580 จุด มองยังเป็นขาขึ้นถึงสิ้นปีหน้าจากสภาพคล่องมีมาก

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday October 26, 2018 14:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการและกรรมการผู้อำนวยการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวในงาน "Hot Issue: Market Update รับมืออย่างไรในสถานการณ์หุ้นผันผวน ผลกระทบจากสงครามการค้า FUND FLOW และทางออกทดแทนการหยุดกองทุน LTF" ว่า คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ไม่หลุดระดับ 1,580 จุด ซึ่งถือว่าเป็นแนวรับสำคัญ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยยังดีอยู่ โดยมองระดับ P/E ที่ 15 เท่า ถือเป็นจุดที่น่าเข้าไปลงทุน ในลักษณะของการทยอยสะสมหุ้น โดยเชื่อว่าดัชนีน่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

นายไพบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากที่ภาครัฐไม่ต่ออายุสิทธิลดหย่อนภาษี LTF ซึ่งจะมีผลในปี 63 นั้น ทางสภาธุรกิจตลาดทุนไทยขออนุญาตกับกระทรวงการคลัง เพื่อศึกษาออกกองทุนรูปแบบใหม่ ซึ่งน่าจะเป็นกองทุนในรูปแบบการออมเพื่อการเกษียณอายุ และสามารถให้ผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงต่ำเข้ามาลงทุน และเกิดประโยชน์สูงสุด คาดว่าจะสามารถเห็นความชัดเจนได้ภายในรัฐบาลชุดนี้

ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า ในภาวะที่ตลาดหุ้นผันผวน ตลาดหุ้นไทยถือมีการปรับตัวลงในระดับเดียวกันกับตลาดพัฒนาแล้ว โดยปีนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงไป 6% ขณะที่ตลาดพัฒนาแล้วปรับตัวลงไปประมาณ 5% ซึ่งถือว่าตลาดหุ้นไทยยังจัดอยู่ในกลุ่ม outperform เนื่องจากประเทศไทยมีอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำประมาณ 1% และยังไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังมีหนี้สินต่างประเทศที่น้อย

"ปีนี้เป็นเป็นที่แย่มากๆ สำหรับตลาดหุ้นทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะของไทย ซึ่งเมื่อดูตัวเลขของตลาดหุ้นหลักในกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว และตลาดเกิดใหม่ที่มีทั้งหมด 45 ตลาด จะมีการปรับตัวลงทั้งสิ้น 40 ตลาด และมีเพียง 5 ตลาดที่ปรับขึ้น เช่น อเมริกา เป็นต้น ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปีนี้ทั้งปีปรับตัวลดลงเพียง 6% ถือว่าดีเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่ที่ปรับลดลง 18% ส่วนตลาดเอเชียและตลาดพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา รวมกันปรับลดลง 19% เช่น จีน ปรับตัวลงไป 21%, ฟิลิปปินส์ลงไป 19%, ฮ่องกงลงไป 17% และเกาหลีลงไป 16% เป็นต้น ฉะนั้นการปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยถือว่าปรับลงในระดับเดียวกับตลาดที่พัฒนาแล้ว เพราะตลาดพัฒนาแล้วปีนี้ลงไปประมาณ 5%"

สำหรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นปรับตัวลง ได้แก่ การลดสภาพคล่องของสหรัฐฯ, การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด, ปัญหาในตลาดเกิดใหม่, ค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ผันผวน, สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน และความกังกวลต่อการขาดดุลงบประมาณของอิตาลี รวมถึงการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยปัจจัยดังกล่าวทำให้ Sentiment ตลาดยังดูไม่ค่อยดี

แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหลัก มองว่ามาจากการที่เฟดไม่ได้ลดท่าทีในการขึ้นดอกเบี้ยให้สอดรับกับความเสี่ยงสงครามการค้าฯ ซึ่งเฟดยังคงเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 4 ครั้งในปีนี้ และในปีหน้าอีก 2-3 ครั้ง ทำให้ตลาดยังคงเป็นกังวลอยู่ เนื่องจากอาจจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอลง กระทบกับตลาดหุ้นเสียหายได้ โดยล่าสุด IMF ได้มีการปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจโลก

ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องติดตามกันต่อ คือ เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสมากน้อยเพียงใดที่จะเข้าสู่ภาวะชะลอตัว และเศรษฐกิจโลกจะมีโอกาสมากน้อยเพียงใดในการเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างรุนแรง ซึ่งหากสองปัจจัยดังกล่าวเกิดนขึ้น มองว่าน่าจะส่งผลทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเข้าสู่ตลาดหมี (Bear Market) อย่างไรก็ตามเชื่อว่าน่าจะมีโอกาสน้อยที่จะเข้าสู่ตลาดหมี เนื่องจากเฟดจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย และจีนยังมุ่งเน้นเศรษฐกิจในประเทศ โดยการลดสัดส่วนการลงทุน และการส่งออก

นายไพบูลย์ กล่าวว่า ยังมองตลาดหุ้นส่วนใหญ่ยังอยู่ในช่วงขาขึ้นไปจนถึงสิ้นปีหน้า จากยังมีสภาพคล่องอีกมาก ซึ่งปัจจุบันสภาพคล่องไปอยู่ในรูปแบบการถือเงินสด ตราสารหนี้ และสกุลเงินดอลลาร์ ประกอบกับทางสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น ยังมีการฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ และจีน เพิ่งดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ซึ่งเมื่อ 4 ประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกยังมีสภาพคล่องสูง ก็น่าจะทำให้เงินไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้น

ขณะที่เชื่อว่ายังมีอัพไซต์ เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกในขณะนี้ Oversold มาก โดยคาดหวังช่วงหลังการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ เป็นต้นไปท่าทีของประธานาธิบดี นายโดนัลด์ ทรัมป์ น่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ส่วนดาวน์ไซด์มองว่าอยู่ในจุดต่ำสุดแล้ว และพร้อมปรับตัวขึ้น หากมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน ส่วนตลาดหุ้นไทย ถือว่าอยู่ในกลุ่มที่อยู่ในจุดต่ำสุด แต่โอกาสที่จะปรับตัวลงไปมากกว่านี้คงมีน้อยมาก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ