ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ที่ระดับ "BBB-"
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศ ตลอดจนผลงานที่เป็นที่ยอมรับในความสามารถในการรับงานก่อสร้างหลากหลายประเภท การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงมูลค่าโครงการที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) จำนวนมาก ตลอดจนแนวโน้มในเชิงบวกของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนจากสถานะทางการเงินของบริษัทที่อ่อนแอและลักษณะที่เป็นวัฏจักรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง อันดับเครดิตยังถูกลดทอนจากการลงทุนในหลาย ๆ โครงการที่ยังไม่ก่อให้เกิดรายได้ซึ่งยากต่อการทำให้สถานะทางการเงินปรับตัวดีขึ้น
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
สถานะทางธุรกิจแข็งแกร่ง บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง จากสถานะการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม บริษัทเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีรายได้สูงสุดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทมีรายได้อยู่ในช่วง 45,000-50,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
สถานะทางธุรกิจของบริษัทยังได้รับแรงหนุนจากการมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับทั้งในโครงการภาครัฐและเอกชน ประสบการณ์และทรัพยากรที่มีอยู่ช่วยให้บริษัทสามารถรับงานก่อสร้างได้หลายประเภท บริษัทรับงานก่อสร้างทั่วประเทศซึ่งช่วยให้บริษัทมีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย
นอกจากงานก่อสร้างในประเทศแล้ว บริษัทยังหาโอกาสในการขยายธุรกิจใหม่ ๆ ไปยังต่างประเทศอีกด้วย ทั้งนี้ จุดแข็งดังกล่าวช่วยให้บริษัทลดความเสี่ยงจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจากการกระจุกตัวของลูกค้า ทำเลที่ตั้งโครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศ และประเภทงานที่หลากหลาย
Backlog จำนวนมากและมีความหลากหลาย การคงอันดับเครดิตได้พิจารณาถึงโครงการที่ยังไม่ส่งมอบจำนวนมากและมีความหลากหลายของบริษัท ณ เดือนมิถุนายน 2561 บริษัทมีมูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบจำนวน 301,534 ล้านบาท โดยมูลค่างานดังกล่าวรวมโครงการสัมปทานก่อสร้างทางรถไฟและท่าเรือน้ำลึกในประเทศโมซัมบิกมูลค่า 113,694 ล้านบาท รวมถึงโครงการสัมปทานทางด่วนในประเทศบังคลาเทศมูลค่า 37,598 ล้านบาท ซึ่งงานก่อสร้างหลักของทั้ง 2 โครงการยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งไม่รวม 2 โครงการดังกล่าวในประมาณการเพื่อเป็นการพิจารณามูลค่างานใน Backlog อย่างระมัดระวัง
หากไม่นับรวมโครงการในประเทศโมซัมบิกและบังคลาเทศแล้ว บริษัทยังมีมูลค่าโครงการที่ยังไม่ส่งมอบในปีนี้สูงถึง 150,242 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วยโครงการขนาดใหญ่ ๆ เช่น โครงการเหมืองหงสาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) มูลค่า 19,018 ล้านบาท และโครงการเหมืองแม่เมาะสัญญา 9 มูลค่า 29,507 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ถึงปี 2572 การที่บริษัทมีมูลค่างานจำนวนมากจะช่วยรักษารายได้ในอนาคตของบริษัทเอาไว้ได้ หากบริษัทสามารถดำเนินงานได้เสร็จตามแผนงาน
ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมายังคงสอดคล้องกับประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้ง โดยรายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 เท่ากับ 29,354 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคและโครงการอุตสาหกรรมในต่างประเทศ รวมถึงโครงการระบบขนส่งมวลชนในประเทศบังคลาเทศด้วย ความสามารถในการทำกำไรยังคงทรงตัว อัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 อยู่ที่ 10% ทรงตัวจากปี 2560
ทริสเรทติ้งยังคงมองแนวโน้มในเชิงบวกสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศ จากนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐจำนวนมากซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นจะช่วยให้บริษัทเติบโตได้เนื่องจากบริษัทมีความพร้อมในการประมูลงาน
ทริสเรทติ้งมองว่าความสามารถในการแข่งขันของบริษัทและโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนอันดับเครดิตในระดับปัจจุบันของบริษัท เราคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะค่อย ๆ ดีขึ้นได้ โดยบริษัทชนะงานประมูลใหม่แล้วมูลค่าประมาณ 38,992 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 ขณะที่ในปี 2560 บริษัทชนะงานประมูลใหม่มูลค่าประมาณ 83,219 ล้านบาท ประมาณการรายได้ของบริษัทคาดว่าจะเติบโตจากระดับ 57,000 ล้านบาทภายในปี 2561 เป็น 70,000 ล้านบาทในปี 2564 มูลค่างานในมือจำนวนมากของบริษัทจะช่วยรักษาระดับรายได้ประมาณ 85% ของรายได้ในปี 2561-2562 ประมาณ 70% ในปี 2563 และ 50% ในปี 2564 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรคาดว่าจะอยู่ในระดับเกินกว่า 8.5%
ภาระหนี้ยังคงเพิ่มขึ้น อันดับเครดิตของบริษัทถูกลดทอนลงจากสถานะทางการเงินของบริษัทที่อ่อนแอ โครงสร้างทางการเงินของบริษัทมีภาระหนี้อยู่ในระดับสูงและบริษัทอาจเผชิญกับความยากลำบากในการสร้างกระแสเงินสดให้เพียงพอกับการชำระหนี้ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทอยู่ในระดับสูงกว่ากลุ่มบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ได้รับการจัดอันดับเครดิต ภาระหนี้ทั้งหมดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 45,484 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2561 เพิ่มขึ้นจากระดับ 40,390 ล้านบาทในปี 2560 และ 35,151 ล้านบาทในปี 2559 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 72.3% ณ เดือนมิถุนายน 2561 เพิ่มจาก 71.8% ณ สิ้นปี 2560 เราประมาณการว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงเพิ่มขึ้น จากความต้องการเงินทุนหมุนเวียนจำนวนมากเพื่อใช้ในการดำเนินงานโครงการก่อสร้าง
จากภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ระดับสูง ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงอย่างมากจากภาระดอกเบี้ยจ่ายมากกว่า 2,000 ล้านบาทต่อปี อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 2.6 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 ขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทอยู่ที่ 7.0% ในปี 2560 และลดลงเป็น 6.4% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561
อันดับเครดิตยังถูกลดทอนลงจากภาระหนี้จำนวนมาก ทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วงปี 2561-2564 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูง ที่ระดับ 70%-73% อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอาจเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 2.9 เท่าซึ่งใกล้กับข้อกำหนดในสัญญาของหุ้นกู้ที่กำหนดไว้ให้ไม่เกิน 3.0 เท่า
ประมาณการค่าใช้จ่ายในการลงทุนในปี 2561 อยู่ที่ประมาณ 3,200 ล้านบาท และบริษัทจะต้องซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ใหม่สำหรับโครงการเหมืองแม่เมาะสัญญา 9 ในช่วงปี 2562 และปี 2563 ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการลงทุนจะเพิ่มขึ้นเป็น 5,500-6,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 2 ปีนี้และจะลดลงเป็นประมาณ 3,800 ล้านบาทในปี 2564 ซึ่งเราคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 3,000-3,500 ล้านบาทต่อปี อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินคาดว่าจะสูงกว่า 7% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในระดับสูงกว่า 2 เท่า
โครงการที่ลงทุนยังไม่สร้างรายได้จึงยากต่อการทำให้สถานะทางการเงินปรับตัวดีขึ้น ภาระหนี้จำนวนมากของบริษัทเกิดจากเงินลงทุนในโครงการขนาดใหญ่จำนวนหลายโครงการที่ยังไม่ประสบความสำเร็จและไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดกลับมาให้บริษัทได้ บริษัทได้ลงทุนระยะยาวใน 5 โครงการ ได้แก่ โครงการเหมืองแร่โปแตชในประเทศไทย โครงการนิคมอุตสาหกรรมทวายในประเทศเมียนมา โครงการทางด่วนในประเทศบังคลาเทศ โครงการเหมืองแร่ Bauxite และโรงงาน Alumina ใน สปป. ลาว และโครงการสัมปทานก่อสร้างทางรถไฟและท่าเรือน้ำลึกในประเทศโมซัมบิก อย่างไรก็ตาม โครงการเหล่านี้ยังไม่ได้สร้างผลตอบแทนให้กับบริษัท โดยเฉพาะในโครงการเหมืองแร่โปแตชและนิคมอุตสาหกรรมทวายที่ล่าช้ามาเป็นเวลานาน ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้บริษัทลงทุนไปแล้วประมาณ 10,000 ล้านบาท
ทริสเรทติ้งมองว่าการลงทุนเหล่านั้นจะเป็นภาระให้กับบริษัท อีกทั้งบริษัทยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการดำเนินโครงการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะความเสี่ยงของประเทศที่เข้าไปลงทุน รวมทั้งความเสี่ยงด้านกฎระเบียบซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อประโยชน์จากการลงทุน บริษัทยังคงต้องแบกรับภาระหนี้ในระดับสูง ในขณะที่บริษัทยังไม่ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนขนาดใหญ่ในระยะใกล้นี้
ภาระดอกเบี้ยจ่ายอาจสูงกว่ากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทได้ หากบริษัทมีอัตรากำไรลดลงหรือขาดทุนในหลาย ๆ โครงการ เช่นเดียวกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างอื่น ๆ บริษัทต้องเผชิญกับวัฏจักรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งในช่วงวัฏจักรขาลงจะส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรของบริษัทอย่างมาก
สภาพคล่องที่ค่อนข้างตึงตัว แต่สามารถบริหารจัดการได้ บริษัทมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่ค่อนข้างตึงตัว แต่สามารถบริหารจัดการได้ ณ เดือนมิถุนายน 2561 บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวนประมาณ 23,373 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 11,245 ล้านบาท เงินกู้ยืมระยะยาวจำนวน 10,829 ล้านบาท และหุ้นกู้จำนวน 1,300 ล้านบาท ขณะที่แหล่งเงินของบริษัทประกอบด้วยเงินสดจำนวน 3,782 ล้านบาท และมีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 6,325 ล้านบาท นอกจากนี้ เรายังคาดว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประมาณ 3,000 ล้านบาทอีกด้วย โดยภาระหนี้ส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ยืมเพื่อใช้ในโครงการก่อสร้าง ซึ่งมีกำหนดชำระคืนตามความก้าวหน้าของโครงการก่อสร้าง เราเชื่อว่าบริษัทจะสามารถต่อสัญญาการกู้ใหม่ออกไปได้
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะสามารถประมูลงานใหม่จำนวนมากได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งจะยังคงรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ รวมถึงเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและสภาพคล่องทางการเงินได้ด้วยเช่นกัน ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทยังคงรักษาอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทให้อยู่สูงกว่า 8.5% ได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มกระแสเงินเพื่อให้เพียงพอกับภาระหนี้ได้ และยังคงปฏิบัติตามเงื่อนไขของการกู้ยืมเงินได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ถึงแม้ว่าภาระหนี้จะสูงขึ้นก็ตาม
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง จากสถานะการเงินที่ค่อนข้างอ่อนแอของบริษัททำให้โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้ามีค่อนข้างจำกัด จากภาระหนี้ที่คาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูง ในขณะที่อันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลงจากการแข่งขันที่รุนแรงในการประมูลงานใหม่ งานก่อสร้างล่าช้า หรือต้นทุนก่อสร้างเกินงบประมาณ โดยอันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทต่ำกว่า 7% หรืออัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินลดลงต่ำกว่า 5% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า