บล. เออีซี (AEC) มองภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้แม้ยังคงมีแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศ แต่หากพิจารณาสัญญาณทางเทคนิคจะเห็นได้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย เริ่มมีสัญญาการฟื้นตัวในกรอบสั้นๆ โดยยังลุ้นการฟื้นตัวตามระดับราคาที่จะค่อยๆ ปรับตัวสร้างฐานจากด้านล่าง ทั้งนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวสัปดาห์นี้ที่ 1,600-1,655 จุด
พร้อมแนะกลยุทธ์ เน้นเทรดดิ้งตามกรอบ โดยคาดตลาดแกว่งออกข้างเพื่อสร้างฐาน ภายใต้เงื่อนไขว่า ตลาดไม่ควรวกกลับลงไปต่ำกว่า 1,600 จุด เนื่องจากจะทำให้ตลาดกลับมาผันผวน และ Downside ด้านล่างจะเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น
ฝ่ายวิจัย มองว่า จากสภาวะที่ SET Index มีแนวโน้มกลับตัว จึงแนะนำหุ้น 3 กลุ่ม ดังนี้ 1) หุ้นกลุ่มที่ Consensus คาดกำไรช่วงไตรมาส 3/61 ไตรมาส 4/61 และปี 61-62 โตต่อเนื่อง YoY ได้แก่ KBANK (S202,R215), TISCO (S76.5,R82), WHA (S4.00,R4.20), BDMS (S24,R26)
2) หุ้นกลุ่มที่ปรับตัวลงมากกว่า 10%YTD และคาดกำไรทั้งปี 61-62 โต YoY ได้แก่ SAWAD (S40,R44), HANA (S34,R37.5) และ 3) หุ้นกลุ่มที่ Bloomberg Consensus คาดประกาศงบช่วงไตรมาส 3/61 ในสัปดาห์นี้ อีกทั้งคาดกำไรช่วงไตรมาส 3/61 ,ไตรมาส 4/61 และทั้งปี 61 เติบโต YoY ได้แก่ SCCC (S235,R250), INTUCH (S51,R55), HMPRO (S14.1,R15.2)
ส่วนปัจจัยที่ต้องจับตาในต่างประเทศ ได้แก่ การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่เป็น Leading Indicator ของการบริโภคภาคครัวเรือนของเดือน ก.ย. ทั้งในส่วนของดัชนี PCE, การใช้จ่ายของภาคครัวเรือน และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งล้วนแต่เป็นตัวเลขที่มีผลต่อการพิจารณาแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (US Bond Yield) โดยหากตัวเลขดังกล่าวออกมาดีกว่าคาด จะทำให้ US Bond Yield กลับมาขยับขึ้นต่อ และกดดันความน่าสนใจของการลงทุนในหุ้น (EYG) ให้ต่ำลง
นอกจากนี้ S&P รายงานผลประเมินอันดับเครดิต (Rating) ของอิตาลี ซึ่งแม้จะคง Rating ที่ BBB เช่นเดิม สูงกว่า Junk bond 2 ระดับ แต่ลด Outlook เป็น Negative จากภาระการคลังที่สูงขึ้นมาก พร้อมทั้งปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปี 62-63 เหลือ 1.1%YoY จากเดิมที่ 1.4%YoY ซึ่งคาดส่งผลต่อ CDS Spread ให้ดีดตัวขึ้น และส่งผลต่อไปยัง Bond Yield ของอิตาลีให้ปรับขึ้นตาม ส่งผลลบต่อตลาดหุ้นยุโรป
อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมาในสหรัฐฯ มีบริษัทใหญ่หลายบริษัทที่ประกาศกำไรต่ำกว่าคาด จนเป็นสาเหตุหลักของการที่ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ (DJIA) ปรับลงในสัปดาห์ก่อน สะท้อนถึงกำลังซื้อที่ลดลง และผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น เราจึงมองว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่เหลือยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก เป็น Noise ในช่วงสั้นของตลาดสหรัฐฯ