โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) หลังมีมุมมองเชิงบวกในระยะยาวต่อดีลการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มใน NH Hotel Group SA ซึ่งทำธุรกิจโรงแรมในประเทศแถบยุโรป ได้รวมเป็น 94.1% มากกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ในระดับ 51-55% แม้จะระดมเงินเพิ่มขึ้นอีกและส่งผลต่อภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นก็ตาม แต่ก็นับว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับกำไรที่จะได้กลับคืนมาทันทีและมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ MINT ยืนยันที่จะไม่ใช้แนวทางการเพิ่มทุนเพื่อรองรับการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้
ด้านการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น MINT ปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบกว่า 3 เดือนในการซื้อขายเมื่อวานนี้ หลังจากประกาศผลการทำคำเสนอซื้อหุ้น NH Hotel ทำให้เกิดความกังวลต่อความเสี่ยงขาลงของกำไรในปีนี้ ตามภาระดอกเบี้ยจ่ายที่คาดว่าจะสูงขึ้น แต่มองเป็นโอกาสเข้าสะสมหุ้น จากระยะยาวเชื่อ MINT จะได้ประโยชน์จากดีลนี้ และคุ้มค่าเมื่อเทียบกับการเข้าซื้อกิจการแบรนด์ Tivoli เมื่อ 2 ปีก่อนแต่เพิ่งจะเริ่มสร้างผลกำไรได้ชัดเจนในปีนี้
ทั้งนี้ การเข้าซื้อกิจการ NH Hotel และการรับรู้ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ Tivoli จะช่วยผลักดันกำไรของ MINT ในปีหน้าให้เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ท่ามกลางธุรกิจอาหารที่ยังไม่สดใสมากนัก จากปีนี้ที่คาดว่ากำไรของ MINT จะได้รับผลกระทบจากภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อ NH Hotel
พักเที่ยงหุ้น MINT อยู่ที่ 35 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ปรับขึ้น 0.42%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) บัวหลวง ซื้อ 46.00 ทิสโก้ ซื้อ 47.00 ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 46.00 เคทีบี (ประเทศไทย) ซื้อ 44.50 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 51.00 เอเชีย เวลท์ ซื้อ 45.00
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า การที่ผลการทำคำเสนอซื้อหุ้น NH Hotel ของ MINT ทำได้มากกว่าเป้าหมายส่งผลให้ตลาดมีความกังวลต่อการใช้วงเงินเข้าซื้อกิจการ NH Hotel เพิ่มขึ้น และมีความกังวลต่อการเพิ่มทุน หรือแม้แต่การออกหุ้นกู้หรือกู้เงินเพิ่ม ก็จะเพิ่มภาระดอกเบี้ยจ่ายและกดดันกำไรของ MINT แต่ล่าสุด MINT ยืนยันว่าจะไม่มีการเพิ่มทุนเพื่อรองรับการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้
ทั้งนี้ คาดว่า MINT จะออกหุ้นกู้ที่ไม่มีอายุ (perpetual bond) เพิ่มอีก 200 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงการปรับมูลค่าสินทรัพย์ (Revalue Asset) ของ NH Hotel เข้ามาเพิ่ม ตลอดจนการหาพันธมิตรร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partner) เข้ามาร่วมถือหุ้นในอนาคตด้วย เพื่อรองรับการเข้าซื้อ NH Hotel ในสัดส่วนสูงกว่าเดิม
"ดูแล้วสิ่งที่เรามองระยะยาวยังเป็นบวก และเมื่อเทียบการซื้อ NH Hotel กับ Tivoli เมื่อ 2 ปีก่อน ดีล NH Hotel ดีกว่าเพราะสามารถรับรู้รายได้ได้ทันทีเลยในปีนี้ ส่วน Tivoli นั้น MINT ยังต้องเข้าไปปรับปรุงหลายๆ อย่าง กว่าผลประกอบการจะดีขึ้นก็เพิ่งในปีนี้ แต่ NH Hotel มี asset ที่ดีอยู่แล้วและได้ return กลับทันที ดีลการซื้อกิจการช่วงแรก ๆ ก็เป็นเรื่องปกติที่จะมีภาระเพิ่มขึ้นในระยะสั้น"นายมงคล กล่าว
นายมงคล คาดว่าการเข้าซื้อ NH Hotel เป็น 94.1% เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิม 51-55% นั้นทำให้ MINT จะต้องหาแหล่งเงินทุนเพิ่มอีกราว 3 หมื่นล้านบาท จากก่อนหน้านี้ที่ได้ออกหุ้นกู้ไปแล้ว 5 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะทำให้ MINT มีภาระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นเป็นราว 2.5 พันล้านบาท/ปี ขณะที่คาดว่า NH Hotel จะสร้างกำไรได้ราว 3.8 พันล้านบาท/ปี เมื่อหักภาระดอกเบี้ยจ่ายแล้ว คาดว่าการเข้าซื้อ NH Hotel จะสร้างกำไรกลับมาให้ MINT ราว 1 พันล้านบาท/ปี
ทั้งนี้ นอกเหนือจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ Tivoli และการเข้าซื้อ NH Hotel ครั้งนี้ ทำให้ประมาณการว่า MINT จะมีกำไรในปี 62 ที่ระดับ 7.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 30% จากราว 5.8 พันล้านบาทในปีนี้ ซึ่งเติบโตราว 7% จากปีที่แล้ว
ขณะที่การเข้าซื้อ NH Hotel ในระดับ 94.1% ยังช่วยเพิ่มมูลค่าหุ้นให้กับ MINT ได้ราว 6.50 บาท จากเดิมที่การซื้อในระดับ 51-55% จะเพิ่มมูลค่าหุ้นได้ 3.50 บาทและได้ถูกรวมในราคาเป้าหมายไปแล้วนั้น ส่งผลล่าสุดปรับราคาเป้าหมายสำหรับหุ้น MINT จาก 41 บาท เป็น 44.50 บาท และเพิ่มคำแนะนำเป็น"ซื้อ"จากเดิมที่ให้"ถือ"
ขณะที่มองระยะสั้นราคาหุ้น MINT อาจได้รับแรงกดดันจากกำไรในไตรมาส 3/61 ที่ชะลอตัวลงจากดอกเบี้ยจ่ายจาก NH Hotel ที่เพิ่มขึ้นในระยะสั้น ขณะที่ธุรกิจอาหารยังคงไม่สดใสจากการแข่งขันสูง ทำให้ยอดขายจากสาขาเดิมยังคงหดตัวต่อเนื่อง ซึ่งเห็นว่าเป็นโอกาสให้เข้าซื้อสะสมหุ้น
ด้าน บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การที่ MINT สามารถเข้าซื้อหุ้น NH Hotel ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเป็น 94.1% นั้น มองว่ามีทิศทางบวกมากกว่าที่ตลาดวิตกกังวล แม้คาดว่าจะเกิดความเสี่ยงขาลงของกำไรของประมาณ 5% จากการประมาณการกำไรปี 61 เนื่องจากภาระดอกเบี้ยจ่ายสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่คาดว่ากำไรของ NH จะเพิ่มขึ้น 5% ในปี 62
ขณะที่ราคาหุ้น MINT คาดว่าน่าจะปรับตัวลงเล็กน้อยในระยะสั้น เนื่องจากผลกระทบเชิงลบของแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 3/61 ที่คาดว่าจะลดลงจากภาระดอกเบี้ยจ่าย แต่น่าจะหักกลบกับกำไรที่จะเติบโตโดดเด่นในไตรมาส 4/61 หลังจะมีกำไรพิเศษจากการ Asset Revaluation ของ NH Hotel ทำให้มองว่า MINT เหมาะสำหรับเป้าหมายการลงทุนในระยะมากกว่า 3 เดือน และยังคงคำแนะนำ"ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมาย 46 บาท
ขณะที่บทวิเคราะห์ของ บล.ฟินันเซีย ไซรัส มีมุมมองในทิศทางเดียวกันว่า แม้การเข้าซื้อ NH Hotel ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นกว่าเป้าหมายจะทำให้ฐานะการเงินของ MINT ตึงตัว แต่ยังคงมีมุมมองเชิงบวกในระยะยาวต่อดีลดังกล่าวในแง่การขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคยุโรปที่ทำได้อย่างรวดเร็วและกลายเป็นผู้เล่นหลักในทันที ส่วนแนวโน้มกำไรระยะสั้นอาจไม่สดใส โดยปรับกำไรปกติปี 61 ลงเป็น 5.38 พันล้านบาท ลดลง 0.6% จากปีก่อน แต่คาดกลับมาเติบโตแรงในปี 62 ที่ระดับ 7.28 พันล้านบาท เติบโต 35.2% จากปี 61 นอกจากนี้ยังปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 62 ที่ 51 บาท คงคำแนะนำ"ซื้อ"และเหมาะสำหรับลงทุนระยะ 6 เดือนขึ้นไป