ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.คาราบาว กรุ๊ป (CBG) ที่ระดับ "A-"
อันดับเครดิตสะท้อนสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทยและการเติบโตของยอดขายในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงบางส่วนจากการที่บริษัทพึ่งพารายได้จากสินค้าเพียงไม่กี่ประเภท รวมทั้งโอกาสในการเติบโตที่จำกัดในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศ และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความสำเร็จในการขยายธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังไปในประเทศอังกฤษซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันอัตรากำไรของบริษัทในอนาคต
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มชูกำลัง "คาราบาวแดง" มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับสองในประเทศไทยโดยอยู่ที่ระดับ 24% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทมาจากตราสินค้า "คาราบาวแดง" ซึ่งเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีและการมีเครือข่ายกระจายสินค้าที่ครอบคลุมร้านค้าปลีกมากกว่า 200,000 แห่ง
นอกเหนือจากตลาดในประเทศแล้ว บริษัทยังส่งออกเครื่องดื่มชูกำลังไปจำหน่ายในหลายประเทศ เช่น กัมพูชา เมียนมา เวียดนาม และจีนด้วย รายได้จากการส่งออกเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 34% ต่อปีในช่วงปี 2556-2560 หรือเท่ากับ 5,050 ล้านบาทในปี 2560 และยังเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 29% หรือเท่ากับ 3,191 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 โดยคิดเป็น 46% ของรายได้รวมจากการขายของบริษัทในช่วงเวลาเดียวกัน ทริสเรทติ้งคาดว่าการส่งออกเครื่องดื่มชูกำลังจะเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
โอกาสเติบโตที่จำกัดในตลาดในประเทศ ทริสเรทติ้งคาดว่าตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทยมีโอกาสในการเติบโตที่จำกัดเนื่องจากตลาดค่อนข้างอิ่มตัวและการขยายตลาดไปยังผู้บริโภคกลุ่มใหม่ก็ทำได้ค่อนข้างยาก ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศหดตัว 2% ในปี 2560 และลดลงอีก 1% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 นอกจากนี้ ภาษีสรรพสามิตที่เก็บตามปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มก็จะทำให้ภาษีของเครื่องดื่มชูกำลังสูงขึ้นตามไปด้วยโดยจะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 เป็นต้นไป หากผู้ประกอบการไม่สามารถขึ้นราคาเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อชดเชยภาษีที่สูงขึ้นได้ก็จะส่งผลให้อัตรากำไรในอุตสาหกรรมอ่อนตัวลง
นอกจากนี้ หากผู้ประกอบการขึ้นราคาเครื่องดื่มเพื่อชดเชยภาษีที่สูงขึ้นก็อาจจะกระทบกับอุปสงค์ของเครื่องดื่มชูกำลังโดยที่ผ่านมาเครื่องดื่มชูกำลังไม่ได้รับการปรับขึ้นราคามาเป็นเวลานานแล้ว อีกทางเลือกหนึ่งที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวได้คือการปรับสูตรเครื่องดื่มชูกำลังด้วยการลดปริมาณน้ำตาลลงเพื่อที่จะไม่ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น แต่ผู้บริโภคจะยอมรับการปรับสูตรหรือไม่อย่างไรนั้นก็ต้องติดตามผลตอบรับต่อไปด้วยเช่นกัน
ความไม่แน่นอนจากการขยายธุรกิจในประเทศอังกฤษ บริษัทได้ทำสัญญาในการเป็นผู้สนับสนุนสโมสรฟุตบอลเชลซีและรายการแข่งขันฟุตบอล English Football League ในประเทศอังกฤษ ซึ่งมีการเปลี่ยนชื่อมาเป็น "คาราบาว คัพ" ในช่วงปี 2559-2564 ทั้งนี้ ภายใต้ข้อกำหนดและเงื่อนไขในสัญญาการเป็นผู้สนับสนุนดังกล่าวในปัจจุบัน บริษัทจะมีค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ประมาณ 600 ล้านบาทในปี 2561 และจะทยอยลดลงจนเหลือ 65 ล้านบาทในปี 2564 การกระทำดังกล่าวน่าจะช่วยให้บริษัทสามารถขยายตลาดในประเทศอังกฤษและทั่วโลกได้มากขึ้น
บริษัทมียอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศอังกฤษที่ยังค่อนข้างต่ำที่ประมาณเดือนละ 1.2 ล้านขวดในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 จากสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในประเทศดังกล่าว นอกจากจะมีค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนสโมสรฟุตบอลและการแข่งขันฟุตบอลแล้ว บริษัทยังมีค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรมทางการตลาดและการส่งเสริมการขายในประเทศอังกฤษด้วย ซึ่งส่งผลทำให้ค่าใช้จ่ายการขายและการตลาดโดยรวมเพิ่มสูงขึ้น ปัจจัยดังกล่าวจะกดดันความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจนกว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากการสร้างตราสินค้าให้เป็นที่รู้จักในระดับโลกมากยิ่งขึ้น
การพึ่งพาประเภทสินค้าที่จำกัด รายได้ของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 ในสัดส่วน 87% มาจากสินค้าประเภทเครื่องดื่มชูกำลัง การพึ่งพาสินค้าในกลุ่มเล็ก ๆ ของตลาดเครื่องดื่มทำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงความนิยมสินค้าและพฤติกรรมของผู้บริโภคค่อนข้างมาก บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากเครื่องดื่มชูกำลังลดลงในช่วงที่ผ่านมาเนื่องจากบริษัทได้ออกสินค้าเครื่องดื่มประเภทอื่น ๆ เช่น เครื่องดื่มเกลือแร่ กาแฟกระป๋องพร้อมดื่ม กาแฟผงปรุงสำเร็จ และน้ำดื่ม ดังนั้น ความสำเร็จในระยะยาวของบริษัทในกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่เครื่องดื่มชูกำลังจึงต้องมีการติดตามผลต่อไป
ระดับหนี้สินเพิ่มสูงขึ้น บริษัทมีระดับหนี้สินเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากบริษัทมีการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตคิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 6,800 ล้านบาทในระหว่างปี 2559 จนถึงครึ่งแรกของปี 2561 โดยแหล่งเงินทุนมาจากเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน การออกหุ้นกู้ และกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนเพิ่มขึ้นเป็น 42% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการเป็นผู้สนับสนุนสโมสรและการแข่งขันฟุตบอลในประเทศอังกฤษก็ยังกดดันความสามารถในการทำกำไรและกระแสเงินสดของบริษัทเนื่องจากบริษัทมีความพยายามที่จะสร้างความรับรู้ในตราสินค้าและเพิ่มยอดขายในตลาดแห่งใหม่ดังกล่าว ส่งผลให้อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทอ่อนตัวลงเหลือ 11% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 จาก 20% ในปี 2559
ทริสเรทติ้งประมาณการรายได้ของบริษัทว่าจะเติบโตที่ระดับ 5%-8% ต่อปีในช่วงปี 2561-2564 โดยจะมาจากรายได้การส่งออกเครื่องดื่มชูกำลังไปในกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม รวมถึงจีนเป็นหลัก ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นจากการมีค่าใช้จ่ายในการเป็นผู้สนับสนุนฟุตบอลที่ทยอยปรับตัวลดลง อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 16% ในปี 2564 จาก 11% ในปี 2561 และเงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ในช่วง 1,000-2,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน ทริสเรทติ้งประมาณการเงินลงทุนของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 2,400 ล้านบาทในปี 2561 ซึ่งจะใช้ลงทุนในสายการผลิตเครื่องดื่มใหม่และลงทุนในโรงงานผลิตกระป๋องอลูมิเนียม
ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนในช่วงปี 2562-2564 ที่ประมาณปีละเพียง 400 ล้านบาทเพื่อบำรุงรักษาสายการผลิตเดิม ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมีกำลังการผลิตที่เพียงพอรองรับการเติบโตในช่วงอีกหลายปีข้างหน้า ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าระดับหนี้สินของบริษัทจะเพิ่มขึ้นสูงขึ้นในปี 2561 ด้วยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่ระดับ 46% และจะทยอยลดลงไปอยู่ที่ 30% ในปี 2564 โดยคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 60% ในปี 2564 จาก 18% ในปี 2561
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศและรักษาระดับการเติบโตของรายได้ในตลาดส่งออกเอาไว้ได้ต่อไป ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีผลประกอบการและระดับหนี้สินที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นในปี 2562 หลังจากที่ถดถอยลงในปี 2561
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอ่อนตัวลงกว่าคาดเป็นระยะเวลานาน หรือหากบริษัทมีนโยบายทางการเงินที่เสี่ยงมากยิ่งขึ้น ในขณะที่โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในระยะสั้นนั้นมีน้อยหากบริษัทมีระดับหนี้สินเพิ่มสูงขึ้น