นายสุชาติ ชลศักดิ์พิพัฒน์ ผู้ว่าการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า พรุ่งนี้จะมีการประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหากรณีศาลปกครองชี้ขาดให้กทพ.จ่ายชดเชย บริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) มูลค่าเงินต้นรวมดอกเบี้ยเป็น 4 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรก โดยเบื้องต้นจะนำแนวทางเจรจากับเอกชนไปพร้อมกับการพิจารณาการต่ออายุสัญญาสัมปทานออกไปอีก 10 ปี 2 ครั้ง หลังจากสัญญาสัมปทานจะสิ้นสดุลงในปี 63 สำหรับทางพิเศษศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2)
และแผนปรับปรุงพื้นผิวจราจรและเพิ่มพื้นที่จราจรของทางด่วนขั้นที่ 2 ที่มีสภาพการจราจรติดขัดและมีปัญหาคอขวด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาโดยให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทำการศึกษา โดยขณะนี้มีปริมาณจราจรประมาณ 1.8 ล้านคัน/วัน
ผู้ว่าการ กทพ. กล่าวว่า กทพ.จะต้องเร่งสรุปแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เสร็จก่อนวันที่ 19 ธ.ค.นี้ที่ศาลปกครองได้ให้เวลา 90 วันนับจากวันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้กทพ.จ่ายชดเชยค่าเสียหาย ทั้งนี้เมื่อได้ข้อสรุปแนวทางแก้ไขปัญหาแล้วจะนำเสนอต่อกระทรวงคมนาคมและเสนอต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาต่อไป เพื่อนำข้อสรุปไปเจรจากับ BEM โดยขณะนี้จะยังไม่มีการตั้งสำรองเงินสำหรับกรณีนี้
"เราจะคุยกับเอกชนด้วยกัน ทั้งเรื่องค่าปรับที่ศาลสั่ง เรื่องการต่ออายุสัญญาสัมปทาน การปรับปรุงและเพิ่มพื้นที่บนทางด่วน ซึ่งจะมีการลงทุนเพิ่มเติม และเรื่องข้อพิพาทต่างๆระหว่าง การทางฯ กับ เอกชน" นายสุชาติ กล่าว
สำหรับการลงทุนใหม่ ผู้ว่าการ กทพ. กล่าวว่า กทพ.จะเปิดประมูลงานโครงการทางพิเศษพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก มูลค่าลงทุน 3.1 หมื่นล้านบาท ในเดือน พ.ย.นี้ และคาดว่าจะได้ผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการนี้ในต้นปี 62 หรือ 3 เดือนหลังจากเปิดประมูล
ส่วนโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 เชื่อมต่อไปยังถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันออก มูลค่ากว่า 1.4 ล้านบาท และจะรวมส่วนต่อขยายทดแทน ตอน N1 เพิ่มเข้ามารวม มูลค่าอีก 7 พันล้านบาท รวมมูลค่าทั้งหมด 2.1-2.2 หมื่นล้านบาท อยู่ระหว่างรอผลการศึกษาของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เพื่อปรับพื้นที่รองรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล คาดว่าจะได้ข้อสรุปในอีก 1-2 เดือนนี้จะนำเสนอต่อครม.ได้ หรือในช่วงเดือน ธ.ค. 61-ม.ค.62