นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปีนี้บริษัทฯ ยังมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก หรือประมาณ 12-15% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 5.28 พันล้านบาท จากยอดขายทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศที่ยังเติบโตได้ดี ซึ่งคาดว่าปีนี้สัดส่วนรายได้ดังกล่าวก็ยังคงประมาณการเดิมที่ 40% เป็นยอดขายจากในประเทศ และ 60% มาจากต่างประเทศ
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/61 คาดว่ายอดขายจะเติบโตได้ดี แม้ในช่วงที่ผ่านมาจะยอดนักท่องเที่ยวชาวจีนจะหดตัวลง แต่บริษัทไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากได้ปรับกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยเฉพาะการออกแคมเปญใหม่ๆ
อย่างไรก็ตามคาดว่า ยอดนักท่องเที่ยวชาวจีนจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น หลังเริ่มเห็นการฟื้นตัวตั้งแต่เดือน ต.ค.ที่ผ่านมา และน่าจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นในช่วงปลายปีนี้ไปจนถึงปีหน้า อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาก็ได้ออกผลิตภัณฑ์ สาหร่ายเทมปุระไข่เค็ม ซึ่งเป็นการนำเอานวัตกรรมใหม่ๆ มาประยุกตกับผลิตภัณฑ์ให้เกิดความแปลกใหม่ เพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งจากนี้ก็จะเห็นการออกผลิตภัณฑ์ในรูปแบบดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายออกผลิตภัณฑ์ประเภทดังกล่าวปีละ 1 ผลิตภัณฑ์
ด้านต้นทุนสาหร่ายขณะนี้ก็เริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยจะเห็นได้ตั้งแต่เดือน ต.ค.61 และจะดีขึ้นได้อย่างชัดเจนในปี 62 เนื่องจากสภาวะอากาศเริ่มมีความสมดุลมากขึ้น ส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย
นายอิทธิพัทธ์ กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายภายใน 4 ปี (61-64) จะมีรายได้จากร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์ เติบโตเป็น 1 พันล้านบาท จากปีนี้คาดทำได้ 300 ล้านบาท เป็นไปตามการขยายสาขาร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์ โดยตั้งเป้าเพิ่มเป็น 100 สาขาในปี 64 แบ่งเป็น ร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์ พลัส จำนวน 40 สาขา ,ร้านเถ้าแก่น้อย มินิ 30 สาขา และร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์ 30 สาขา โดยวางงบลงทุนรวมไว้ที่ 150-200 ล้านบาท
ล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิดตัวร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์ พลัส ซึ่งเป็นสาขาแรก โดยทุ่มงบลงทุนการตลาด 15-20 ล้านบาท ดึง เบลล่า ราณี เป็นพรีเซนเตอร์ในการโปรโมท เพื่อให้ร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์พลัส เป็นร้านต้นแบบใหม่ที่มุ่งหวังให้เป็นหนึ่งใน landmark สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ รวมทั้งชาวไทย ที่ต้องการซื้อของฝาก ของที่ระลึกต่าง ๆ
นายอิทธิพัทธ์ กล่าวว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาการเข้าซื้อแบรนด์ร้านอาหาร (แฟรนไชส์) โดยมีความสนใจในประเทศไต้หวัน และประเทศญี่ปุ่น โดยรูปแบบร้านอาหารจะเป็นลักษณะอาหารบริการด่วน (Quick Service Restaurant) คาดว่าจะเห็นร้านอาหารญี่ปุ่นก่อน และจะทดลองเปิดสาขาแรกในปลายปีนี้
นอกจากนี้ความคืบหน้าการร่วมลงทุน (Joint Venture Agreement) กับบริษัท มารุเอสุ แฟคโทรี่ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท มารุอิสุ (ไทยแลนด์) จำกัด (กลุ่มบริษัทมารุอิสุ) เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน บริษัท เถ้าแก่น้อย มารุอิสุ (ไทยแลนด์) จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตขนมขบเคี้ยว ปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาผลิตภัณฑ์คาดว่าจะสามารถออกสินค้าได้ในต้นปี 62 จากเดิมคาดว่าจะสามารถออกสินค้าได้ในช่วงไตรมาสที่ 2/ 61
ขณะที่โรงงานในสหรัฐฯ ที่บริษัทได้ทำการซื้อเข้ามาในปี 60 โดยเริ่มมีกำลังการผลิตและทำตลาดในช่วงไตรมาสที่ 2/61 ซึ่งปัจจุบันเริ่มมียอดขายเข้าบางส่วน และภายใน ปี 66 คาดว่าจะมีรายได้จากสหรัฐฯ ราว 2 พันล้านบาท จากปีนี้จะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปี โดยบริษัทฯ เตรียมประกาศแผนการดำเนินงานในปี 62 อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังคงเป้าหมายจะมีรายได้รวมเติบโตแตะ 1 หมื่นล้านบาท ภายใน 10 ปีข้างหน้า จากการตั้งเป็น Global Companies