นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ยอมรับว่าตลาดหุ้นในขณะนี้ยังคงมีความผันผวนอยู่ ทั้งจากปัจจัยภายใน เช่น การเมืองที่ยังไม่ชัดเจน และปัจจัยภายนอก ที่ยังได้รับความกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่มีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอยจากปัญหาซับไพร์มและตัวเลขการว่าจ้างแรงงานที่ลดลง จากปัจจัยดังกล่าวจึงมีความเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นในช่วงนี้ดัชนีจะหลุด 800 จุด
"แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยไม่ได้เลวร้าย เรายังมีของดีทั้งราคาหุ้นที่ถูกกว่าประเทศอื่น ดังนั้นหากปัญหาทุกอย่างคลี่คลาย การเมืองชัดเจนและเห็นรูปร่างเศรษฐกิจก็น่าจะทำให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ส่วนผู้ที่จะมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ส่วนตัวเห็นว่าจะต้องเป็นบุคคลที่เป็นยอมรับในวงกว้างทั้งในประเทศและต่างประเทศ" นายปกรณ์กล่าว
ส่วนที่มีข่าวว่าจะมีการมาทาบทามให้ตนรับตำแหน่งในรัฐบาลนั้น นายปกรณ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้รับการติดต่อใดๆ
นายปกรณ์ กล่าวต่อว่า ในปีนี้ตลาดจะให้ความสำคัญในเรื่องการเพิ่มจำนวนบริษัทในการเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการในการชักชวนบริษัทเข้ามาจดทะเบียน ซึ่งส่งผลให้มีบริษัทที่แสดงความจำนงในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 107 บริษัท ขนาดมาร์เก็ตแค็ปรวม 3 แสนล้านบาท แบ่งเป็น 48 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์และ 59 บริษัทในตลาด mai ขณะเดียวกันก็จะให้ความสำคัญเรื่องการขยายฐานนักลงทุนสถาบันมากขึ้นจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนนักลงทุนสถาบัน 11% ซึ่งถือว่าน้อยในการขยายฐานนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าในปีนี้ ชุดคณะอนุกรรมการฯ จะต้องพยายามทำเรื่องดังกล่าวให้ได้ภายใต้ปัจจัยที่ยังกดดันตลาดหุ้นไทย ถึงแม้ปัจจุบันจะมีนักลงทุนที่พร้อมจะลงทุน เช่น ญี่ปุ่น ซึ่งการที่ตลาดหุ้นไทยมีพีอีต่ำกว่าประเทศอื่นและปัจจัยพื้นฐานดีน่าจะเป็นจุดขาย ดึงดูดให้นักลงทุนสถาบันเข้ามาลงทุน ซึ่งจะสอดคล้องกับแผนการโรดโชว์ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ในปีนี้ของตลาดหลักทรัพย์
นอกจากนี้ ในส่วนของการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ คาดว่าจะสามารถสรุปผลการแปรรูปได้ในช่วงเดือน เม.ย.51 จากก่อนหน้านี้ที่ได้มีการตั้งบริษัท บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป เป็นที่ปรึกษาในการศึกษาทิศทางการดำเนินงาน และการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นบริษัทจำกัด
ด้านนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดฯขณะนี้เกิดจาก 2 ปัจจัย คือ ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่นักวิเคราะห์บางฝ่ายมองว่า ชะลอลงทั้งจากปัญหาซับไพร์ม ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
ปัจจัยดังกล่าวส่งผลกังวลไปยังตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นในภูมิภาค รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย
นอกจากนี้ ยังมีความกังวลจากปัจจัยในประเทศ ในเรื่องของการเมืองที่ทุกฝ่ายกำลังรอการจัดตั้งรัฐบาลและทีมเศรษฐกิจ เป็นผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุน
"นักลงทุนมีความหวังว่าทีมเศรษฐกิจจะเข้ามาทำงานเชิงรุก ส่งเสริมอุตสาหกรรมให้สามารถแข่งขันได้ ที่ผ่านมาประเทศไทย ไม่ได้ขยายตัวมากนักหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน หากปีนี้เศรษฐกิจไทยโตได้ 4-5% ถือว่าน่าพอใจ แต่ยังต้องเฝ้าระวังในเรื่องของราคาน้ำมันและ ค่าเงินบาท" นางภัทรียา กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/นิศารัตน์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--