นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดจะปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะติดลบกว่า 1% เนื่องจากข่าวข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนสร้างความสับสนให้กับตลาดฯ โดยทางนายแลร์รี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวระบุวาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ได้สั่งการให้คณะรัฐมนตรีร่างข้อตกลงการค้ากับจีน ผิดไปจากข่าวก่อนหน้านี้ อีกทั้งช่วงนี้ยังใกล้การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯในวันที่ 6 พ.ย.นี้ด้วย
นอกจากนี้ ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯก็ออกมาค่อนข้างดีมาก ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นมาใกล้ระดับ High เดิมที่ 3.24% โดยมาอยู่ที่ 3.2% แล้ว ทำให้กดดัน Emerging Market และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ตลาดฯคาดไว้ด้วย รวมทั้งราคาน้ำมันดิบก็ได้ปรับตัวลงต่อ หลังจากสหรัฐฯได้ผ่อนผัน 8 ประเทศยังคงสามารถนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านได้หลังวันที่ 4 พ.ย.
ขณะที่วันนี้ให้ติดตามประธานาธิบดีของจีนจะกล่าวสุนทรพจน์ ซึ่งก็ให้จับตาว่าจะกล่าวถึงประเด็นการค้ากับสหรัฐฯหรือไม่ และติดตามตัวเลข PMI ภาคบริการของจีน และสหรัฐฯด้วย
พร้อมให้แนวรับ 1,660 จุด ส่วนแนวต้าน 1,690-1,700 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (2 พ.ย.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,270.83 จุด ลดลง 109.91 จุด (-0.43%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,723.06 จุด ลดลง 17.31 จุด (-0.63%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,356.99 จุด ลดลง 77.06 จุด (-1.04%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 241.19 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 11.05 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 436.01 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 49.74 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 16.19 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 28.88 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 6.20 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (2 พ.ย.61) 1,681 จุด เพิ่มขึ้น 14.29 จุด (+0.86%)
- นักลงทุนต่างชาติต่างชาติขายสุทธิ 625.48 ล้านบาท เมื่อวันที่ 2 พ.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (2 พ.ย.61) ปิดที่ 63.14 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 55 เซนต์ หรือ 0.9%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (2 พ.ย.61) ที่ 5.17 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.87 อ่อนค่าหลังดอลล์แข็งรับตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯออกมาดี ตลาดจับตาการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ
- ททท.ปรับกลยุทธ์ เจาะตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หลังพบตลาดโลกโตสูง ล่าสุดปี 60 มูลค่า พุ่ง 21 ล้านล้าน คาดปี 65 เพิ่มแตะ 30 ล้านล้าน ขณะ"ไทย"รั้งอันดับ 4 ของโลก พร้อมลุยปรับแผนทำตลาดหันจับลูกค้า CLMV หวังชดเชยกลุ่มตะวันออกกลางที่ลดลง
- รฟท.แจงผู้ชนะโครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบินสามารถเพิ่มพันธมิตรร่วมทุนภายหลังได้ โดยไม่มีข้อห้ามในทีโออาร์ แต่ต้องไม่กระทบสัดส่วนการเป็นแกนนำกลุ่มเดิม ด้าน"บีทีเอส"ยันหาก ปตท.จะเข้ามาภายหลังต้องขออนุญาตจาก รฟท.ก่อน โดยอาจจะเช่าช่วงเพื่อพัฒนาพื้นที่ทำ"สมาร์ท ซิตี้"ขณะที่ บอร์ด สศช.อนุมัติรถไฟสายสีแดงส่วนต่อขยาย 3 เส้นทาง วงเงินกว่า 2.42 หมื่นล้าน ส่วนรถไฟไทย-จีน เปิดขายซองก่อสร้างช่วง 11 กม. 3.3 พันล้านแล้ว เมื่อ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา กำหนดยื่นซอง 18 ธ.ค.นี้
- ส.อ.ท. ตั้งคณะทำงานศึกษาผลกระทบสงครามการค้าโลกเจาะลึกรายอุตสาหกรรม 45 กลุ่มโฟกัสผลกระทบทางอ้อมที่สินค้าจีนกว่า 6,000 รายการอาจทะลักเข้าไทยได้ หวังเตรียมตั้งการ์ดรองรับปี 62 พร้อมเกาะติดใกล้ชิดหวั่น "ทรัมป์" ประกาศเพิ่มระลอก 3 อีกยิ่งกระทบหนัก "สุพันธุ์"ดัน Made in Thailand ลุ้นเลือกตั้งสงบ เร่งเครื่องลงทุน "อีอีซี"กระตุ้นการขับเคลื่อน ศก.ในประเทศรับมือ
- "แบงก์พาณิชย์"ส่อเผชิญศึกหนักจากมาตรฐานบัญชีใหม่ หลังแบกภาระ "หนี้เอสเอ็ม" ร่วม 3.8 แสนล้าน ส่งผลภาระตั้งสำรองปีหน้าเพิ่มต่อเนื่อง เผยหลายแบงก์เริ่มตุนเงินกองทุน แต่หลายแห่งยังไม่เพียงพอ"บัณฑูร"ยอมรับเกณฑ์ใหม่ทำปล่อยกู้ลำบากขึ้น แต่เชื่อดีต่อระบบป้องแบงก์พังจากการปล่อยกู้เกินตัว
- คมนาคมเคลียร์แผนลงทุน 20 ปี กางมอเตอร์เวย์ 21 สาย ส่วนทางด่วนเน้นแก้จราจรรอบ กทม.-เป็นฟีดเดอร์เชื่อมวงแหวน รอบ 2 และรอบ 3 จ่อผุด ทางด่วนฉลองรัฐ-ลำลูกกา, อุดรรัถยา-รังสิตคลองหก, เชื่อมด่วนศรีรัช-วงแหวนฯ-ถ.เพชรเกษม ขณะที่เบรกลงทุนทางด่วน อุดรรัถยา-อยุธยา หวั่นแข่งขันกันเอง กระทบเอกชนร่วมลงทุน
- กระทรวงอุตฯ สั่ง ธพว.เร่งปล่อยสินเชื่อกองทุนประชารัฐรอบใหม่ ยื่นคำขอถึง ม.ค. 2562 เผยกองทุนอนุมัติไปแล้วเกิน 60% หนี้เสียต่ำกว่า 1%
*หุ้นเด่นวันนี้
- CENTEL (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 45 บาท เก็งกำไรก่อนภาครัฐเตรียมออกมาตรการกระตุ้นนักท่องเที่ยว (ฟรีวีซ่าออน อาร์ไรวัล) ในสัปดาห์หน้า ด้านผลประกอบการ Q3/61 คาดมีกำไรสุทธิ 427 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 16%yoy
- CK (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 34 บาท คาดกำไรปกติ Q3/61 ที่ 646 ลบ. +19% Q-Q, +3% Y-Y จากส่วนแบ่งกำไร BEM และ CKP ขยายตัวเด่นตามฤดูกาล ขณะที่รายได้ก่อสร้างคาด +3% Q-Q ตามการรับรู้ความคืบหน้าของงานที่เพิ่มขึ้น และคาดอัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวที่ 7.9% ส่วนงานภาครัฐฯมีโอกาสเร่งอนุมัติมากขึ้น เช่น โครงสร้างพื้นฐาน EEC,ทางด่วนพระราม 3-ดาวคะนอง, รฟฟ.ม่วงใต้, มอเตอร์เวย์ 2 เส้น และรถไฟทางคู่ 9 เส้นทาง คาดว่าจะได้รับงานใหม่อย่างน้อย 2.4 หมื่นลบ.ราคาหุ้น laggard SET100 อยู่ 2% และ STEC อยู่ 7% อีกทั้งยัง Discount NAV ของบริษัทลูก (BEM, CKP, TTW) อยู่ราว 30%
- BEM (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 9 บาท ให้เป็น Stock pick ของเดือน พ.ย.คาดกำไร Q3 (ประกาศวันที่ 9 พ.ย.) ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทั้ง Core, Net profit ในขณะที่คดีความต่างๆ เริ่มถูกตัดสินเช่น คดีค่าผ่านทาง, ทางด่วนทับซ้อน คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1 หมื่นล้านบาท จากคดีความทั้งหมด 2.8 หมื่นล้านบาท แนะนักลงทุนจับตาการเจรจาสัมปทานคาดเกิดขึ้นใน Q1/62 มีมุมมองเชิงบวก