นายสมชัย ไทยสงวนวรกุล ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอส เอ็น ซี ฟอร์เมอร์ (SNC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 62 เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ตามอัตราการใช้กำลังการผลิตที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 85% จาก 65% ในปีนี้ โดยขณะนี้มีคำสั่งซื้อล่วงหน้าสำหรับปีหน้าเข้ามาแล้วไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท และยังมีคำสั่งซื้อใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องด้วย
ส่วนปัญหาสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน มองว่าเป็นปัจจัยบวกที่เข้ามาส่งเสริมคำสั่งซื้อมากขึ้นด้วย แม้ว่าปัจจุบันบริษัทยังไม่ได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากปัจจัยดังกล่าวก็ตาม แต่เชื่อว่าอีกไม่นานจะได้รับเข้ามา เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้นักลงทุนย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทย ซึ่งจะทำให้บริษัทมีโอกาสได้รับคำสั่งซื้อชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ เพิ่มเติม
ทั้งนี้ บริษัทจะรักษาอัตรากำไรสุทธิปี 62 ให้ใกล้เคียงกับช่วง 9 เดือนแรกของปี 61 ที่อยู่ระดับ 7.24% เป็นผลจากการเน้นบริหารจัดการต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ บริษัทจะลงทุนไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาทในระบบออโตเมชั่นและระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถผลิตได้ตลอด 24 ชั่วโมง และยังได้สิทธิและประโยชน์ด้านภาษีจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพิ่มเติมด้วย
"การที่เราลงทุนระบบออโตเมชั่นมากขึ้น ทำให้ต้นทุนต่าง ๆ ปรับตัวลดลงไปด้วย ทำให้เราสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ได้มากขึ้น และสามารถลดราคาขายสินค้าได้ราว 2-3% แต่มาร์จิ้นยังคงเท่าเดิม และยังมีเรื่องของสงครามทางการค้าเข้ามาอีก ส่งผลให้คำสั่งซื้อใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แค่ปริมาณคำสั่งซื้อในมือล่วงหน้าก็มากกว่าช่วงที่ผ่าน ๆ มาแล้ว"นายสมชัย กล่าว
สำหรับช่วงไตรมาส 4/61 บริษัทคาดว่าผลประกอบการจะดีกว่าช่วงไตรมาส 3/61 เนื่องจากบริษัทได้รับใบรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์สำหรับการส่งออกไปซาอุดิอาระเบีย (SASO) แล้ว ขณะที่ปัจจุบันบริษัทเน้นขยายตลาดใหม่ ทั้งในส่วนของชิ้นส่วนอุปกรณ์สำหรับเครื่องปรับอากาศที่ใช้สำหรับยานพาหนะ และเครื่องทำความเย็น ประกอบกับ บริษัทมองหากลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ในส่วนของกลุ่มเครื่องปรับอากาศ และกลุ่มนอกเหนือจากเครื่องปรับอากาศ เพิ่มเติมด้วย
ส่วนรายได้รวมปีนี้ก็เป็นไปตามที่คาดไว้ว่าจะลดลงราว 7% มาอยู่ที่ราว 7,000 ล้านบาท โดยได้รับผลกระทบจากตะวันออกกลางที่ได้มีการปรับมาตรฐานเครื่องปรับอากาศใหม่ ส่งผลให้บริษัทต้องมีการปรับมาตรฐานการผลิตใหม่ตามด้วย แต่ในส่วนกำไรสุทธิคาดว่าจะทำได้มากกว่าปี 60 ที่มีกำไรสุทธิ 401.31 ล้านบาท หลังปรับโครงสร้างภายในใหม่ โดยการตัดส่วนที่ไม่สร้างผลตอบแทน รวมไปถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้เริ่มผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง 3.43 เมกะวัตต์ (MW) ทำให้ค่าใช้จ่ายไฟฟ้าปรับลดลง 1 ล้านบาท/เดือน