นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) เปิดเผยว่า ในปี 62 บริษัทตั้งเป้ารักษาการเติบโตของผลกำไร ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ และลูกหนี้คงค้าง เติบโตในระดับ 35% ทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง จากแผนงานการเปิดสาขาจำนวน 600 สาขา เมื่อรวมกับสาขาเดิมที่เปิดไปแล้วคาดว่าภายในสิ้นปีหน้าบริษัทจะมีสาขาทั้งสิ้น 3,800-4,000 สาขา จากปัจจุบัน บริษัทมีสาขาจำนวน 3,200 สาขา และภายในสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีสาขากว่า 3,300 สาขา ถือว่าเป็นบริษัทที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในประเทศไทย
"การที่เรามีสาขาจำนวนมากขึ้น ทำให้เราสามารถขยายการบริการไปถึงลูกค้าที่อยู่ตามต่างจังหวัด และภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ จึงทำให้มั่นใจว่าในปี 62 สามารถรักษาการเติบโตถึง 35 % ทั้งในด้านของการปล่อยสินเชื่อใหม่, ลูกหนี้คงค้าง และรวมทั้งผลกำไรของบริษัท ซึ่งจะเป็น New High ตลอดทุกปี และทุกไตรมาส"นายชูชาติกล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3/61 มีกำไรสุทธิรวม 965 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.46% จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 650 ล้านบาท ขณะที่ 9 เดือนของปี 61 มีกำไรสุทธิรวม 2,711 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.21% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 1,758 ล้านบาท ยังคงทำสถิติสูงสุดได้ติดต่อกัน เนื่องจากยอดปล่อยสินเชื่อใหม่เติบโตได้ตามที่คาดการณ์ไว้ และยังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง โดย 9 เดือนแรกยอดปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 57,984 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.72% จากงวดเดียวกันปีก่อน และลูกหนี้คงค้างอยู่ที่ 44,778 ล้านบาท
ขณะเดียวกันยังรักษาสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไว้ไม่เกินระดับ 1.50% นอกจากนี้บริษัทฯยังสามารถควบคุมต้นทุนทางการเงินได้ดี ปัจจุบันมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 3.04 เท่า ล่าสุดบริษัทได้เสนอขายหุ้นกู้มูลค่าไม่เกิน 4 พันล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ฐานะการเงินมีความแข็งแกร่ง และส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในระยะยาว
ขณะที่แนวโน้มความต้องการสินเชื่อในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ น่าจะยังมีทิศทางที่เติบโต ทั้งสินเชื่อส่วนบุคคล และนาโนไฟแนนซ์ ทำให้มั่นใจว่ายอดปล่อยสินเชื่อใหม่ รวมทั้งปีนี้จะไม่ต่ำกว่า 80,000 ล้านบาท
ส่วนกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมออกเกณฑ์คุมสินเชื่อจำนำทะเบียน โดยแนวทางการกำกับดูแลสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นหลักประกันสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ หนดให้ต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท และกำหนดอัตราเพดานดอกเบี้ยไม่เกิน 28% ต่อปี รวมค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ยกเว้นค่าทวงถามหนี้ที่จะคิดได้ตามจริงโดยสมเหตุสมผล คาดว่าเกณฑ์ดังกล่าวน่าจะมีผลบังคับใช้ช่วงเดือน พ.ย.นั้น บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากเกณฑ์ดังกล่าวเนื่องจากมีคุณสมบัติครบถ้วนอยู่แล้ว