นายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอทีพี 30 (ATP30) กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจของบริษัทในช่วงไตรมาส 4 ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาเซ็นสัญญากับลูกค้าใหม่เป็นบริษัทชิ้นส่วนยานยนต์ขนาดใหญ่ จำนวนรถกว่า 20 คัน คาดว่าจะเริ่มให้บริการและรับรู้รายได้ 1 ม.ค. 62 นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าใหม่อีกหลายราย
ปัจจุบันมีจำนวนลูกค้าที่ให้บริการ 35 ราย จำนวนรถรวม 270 คัน มูลค่าสัญญารวมประมาณ 1,964 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 2566
"การให้บริการรถในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีการเติบโตอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ นักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยนักท่องเที่ยวจีนยังคงมียอดเดินทางเข้ามาเที่ยวที่ประเทศไทยมากเป็นอันดับ 1 ซึ่งถือเป็นโอกาสการให้บริการของบริษัท นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อให้บริการกับบริษัท อาร์พี ทรานสปอร์ตเทชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.ท่าเรือราชาเฟอร์รี่ (RP) ด้วยรถบัส 32 ที่นั่ง รับส่งนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพ-เกาะพะงัน จำนวน 2 คัน คาดว่าจะเริ่มให้บริการในช่วงสิ้นปีนี้ คาดว่าในปี 62 การให้บริการในธุรกิจท่องเที่ยวจะเข้ามามีส่วนเสริมในการเติบโตของบริษัทได้อย่างมีศักยภาพ" นายปิยะ กล่าว
สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 61 บริษัทมีรายได้รวม 313.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 253.07 ล้านบาท จำนวน 60.19 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23.78%และมีกำไรสุทธิ 30.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 15.69 ล้านบาท จำนวน 14.81 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 94.39%
ส่วนไตรมาส 3/61 มีรายได้รวม 110.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 89.84 ล้านบาท จำนวน 20.37 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 22.67% และมีกำไรสุทธิ 10.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 8.35 ล้านบาท จำนวน 2.35 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 28.14%
ผลประกอบการของบริษัทเติบโตเพิ่มขึ้นเนื่องจากขยายการให้บริการกลุ่มลูกค้าเดิมและลูกค้ารายใหม่ รวมถึงการขยายธุรกิจสู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งเริ่มให้บริการตั้งแต่เดือน มี.ค.อีกทั้งบริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนน้ำมันและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงได้ดีขึ้น ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันจะมีค่าเฉลี่ยที่สูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบในช่วงระยะเวลาเดียวกัน อีกทั้งมีรถที่หมดค่าเสื่อมจำนวนรวมทั้งสิ้น 25 คัน ส่งผลให้บริษัทมีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นงวด 9 เดือนดีขึ้นอยู่ที่ 25.95%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 22.45%