(เพิ่มเติม1) CMC เคาะราคาเสนอขาย IPO ที่ 3 บาท เปิดจองซื้อ 8-13 พ.ย.61 พร้อมเข้าเทรด 19 พ.ย.นี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 7, 2018 12:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.เจ้าพระยามหานคร (CMC) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 250 ล้านหุ้น ที่ราคา 3.00 บาท/หุ้น พร้อมเปิดจองซื้อวันที่ 8-13 พ.ย. 61 และคาดว่าจะเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรกในวันที่ 19 พ.ย. 61

ทั้งนี้ CMC เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยมากว่า 24 ปี เน้นประเภทคอนโดมิเนียมเป็นหลักและทำเลแนวเส้นทางรถไฟฟ้า รวมทั้งอาคารสำนักงานให้เช่า และยังมีกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่รับงานโครงการของบริษัทในเครือเป็นหลัก

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (MBKET) ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ CMC กล่าวว่า หุ้นไอพีโอจำนวน 250 ล้านหุ้นของ CMC ซึ่งเป็นหุ้นเพิ่มทุนใหม่ทั้งหมด สามารถจองซื้อได้ ในวันที่ 8- 9 และ 12-13 พ.ย.61 ที่ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง และ บล.คันทรี่ กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้จัดการร่วมในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย โดยมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย ได้แก่ บล.เคทีบี (ประเทศไทย), บล.ทิสโก้, บล.เออีซี และ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย)

สำหรับราคาเสนอขายหุ้น IPO ของ CMC ที่ 3 บาทต่อหุ้น ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม จากราคาประเมินที่ 4.68 บาทต่อหุ้น และเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรในปี 62 ซึ่งประเมินอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) ในปี 62 จะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 8 เท่า

"ผมเชื่อมั่นว่าหุ้น CMC จะเป็นหุ้น property ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน โดย CMC มีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กว่า 24 ปี ผ่านวิกฤตต่างๆมาได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยจำนวนโครงการที่พัฒนาแล้วกว่า 45 โครงการ และพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง พิจารณาได้จาก Gross Profit Margin ของบริษัทที่อยู่ที่ระดับ 40% ต่อเนื่องมากว่า 10 ปี"นายมนตรี กล่าว

ประกอบกับ CMC มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการขายจำนวน 25 โครงการ โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 2 โครงการ และโครงการในอนาคตที่มีแผนพัฒนาเพิ่มเติมอีก 10 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 16,000 ล้านบาท ที่คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ภายในช่วง 3-4 ปีนี้ ซึ่งนักลงทุนสามารถคาดหวังการเติมโตของรายได้ได้ค่อนข้างชัดเจน

พร้อมกันนี้ นายมนตรี ยังกล่าวว่า อยากให้นักลงทุนมองที่ปัจจัยพื้นฐานของหุ้น IPO เป็นหลัก รวมไปถึงศักยภาพการทำกำไร และโอกาสการเติบโตในอนาคต อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะยังคงผันผวน จากปัจจัยภายนอกประเทศที่ยังกดดัน โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยังมีความไม่แน่นอน แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ประเทศไทยถือว่ามีความแข็งแกร่ง จากโครงสร้างรายได้ที่ดี การท่องเที่ยวที่เริ่มเห็นสัญญาณการกลับเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวจีนมากขึ้น การลงทุนภาครัฐ และการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี 62

โดยนายมนตรี ประเมินดัชนีหุ้นไทยปี 62 ไว้ที่ระดับ 1,900 จุด จากคาดกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย (EPS) จะเติบโต 12%

นายแพทย์วิเชียร แพทยานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CMC กล่าวว่า สำหรับเงินที่จะได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับจำนวน 750 ล้านบาท โดยจะนำไปใช้ชำระหนี้เงินกู้จากสถาบันการเงิน ประมาณ 400 ล้านบาท โดยจะทยอยชำระตั้งแต่เดือนธ.ค.61 ถึงม.ค.62 ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลงอยู่ที่ 4-5% ต่อปี จากเดิมอยู่ที่ระดับ 7-8% ต่อปี หรือจะช่วยลดภาระการจ่ายดอกเบี้ยที่ประมาณ 30 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ หลังจากบริษัทได้ชำระหนี้เงินกู้จากสถาบันการเงินแล้ว คาดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) จะลดลงอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1.2 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.8 เท่า โดยหลังจากการเพิ่มทุนกลุ่มแพทยานันท์ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมจะถือหุ้น 75% และนักลงทุนทั่วไปจะถือหุ้นประมาณ 25%

ปัจจุบันบริษัทมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างขายทั้งหมด 25 โครงการ มูลค่ารอการรับรู้รายได้กว่า 4,100 ล้านบาท และมีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 2 โครงการ มูลค่ากว่า 1,900 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าโครงการเหล่านี้จะสร้างการเติบโตให้แก่บริษัทฯอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้กลุ่มบริษัทฯยังมีแผนจะเปิดขายและพัฒนาโครงการใหม่อีกทั้งหมด 10 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท บนที่ดินรวม 28 ไร่ ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการแล้วทั้งหมด

อนึ่ง บริษัทมีผลประกอบการครึ่งปีแรก 61 บริษัทฯมีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 976 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 60 ที่ 795 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้น 405 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึงเท่ากับ 41.6% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 60 ที่ 336 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 123 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 130% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 60 ที่ 53 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าผลประกอบการในปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมายไม่ต่ำกว่าปีก่อน จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,525.23 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ