ทริสเรทติ้ง จัดอับเดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ 2.5 หมื่นลบ.ของ CPF ที่ "A+" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 8, 2018 15:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ที่ระดับ "A+" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนซึ่งไม่มีประกันและไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท (Hybrid Debentures) ของบริษัทที่ระดับ "A-" ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 25,000 ล้านบาทที่ระดับ "A+" ด้วยเช่นกัน โดยอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่จะใช้ทดแทนอันดับเครดิตหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 12,000 ล้านบาทและหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (Greenshoe) วงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาทที่ประกาศเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2561 เนื่องจากบริษัทปรับเพิ่มมูลค่าของหุ้นกู้ที่ออกจำหน่าย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ในการดำเนินกิจการ และ/หรือชำระคืนหนี้ และ/หรือให้กู้ยืมแก่บริษัทย่อยของบริษัท

อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ของบริษัทยังคงสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของไทย ตลอดจนการมีฐานการผลิตในหลายประเทศ การมีสินค้าและตลาดที่หลากหลาย กลยุทธ์ที่เน้นผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมบริโภคที่มีตราสัญลักษณ์ รวมทั้งความยืดหยุ่นทางการเงินจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงบางส่วนจากระดับหนี้สินของบริษัทที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์ของบริษัทซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์และราคาธัญพืชซึ่งเป็นวัตถุดิบ รวมทั้งความเสี่ยงจากโรคระบาดและการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบของประเทศผู้นำเข้า

ในปี 2560 ตลอดจนครึ่งแรกของปี 2561 บริษัทมีผลประกอบการที่อ่อนลง เนื่องมาจากภาวะอุปทานส่วนเกินของธุรกิจสัตว์บก ราคาสุกรในประเทศเวียดนามและไทยลดลงอย่างมากในปี 2560 อย่างไรก็ตาม ภาวะอุปทานส่วนเกินและราคาสุกรในประเทศเวียดนามฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 แต่ราคาสุกรและไก่ในประเทศไทยยังคงตกต่ำในช่วงครึ่งแรกของปี 2561

ราคาที่ลดลงส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัท ทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลงจาก 9.9% ในปี 2559 มาอยู่ที่ 6.2% ในปี 2560 และ 6.9% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทลดลงจากระดับ 51,102 ล้านบาทในปี 2559 มาอยู่ที่ 35,564 ล้านบาทในปี 2560 และ 21,652 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2561

ทริสเรทติ้งมองว่า แม้ว่าผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาจะอ่อนแอลง แต่รายได้และกำไรของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของราคาสุกรในประเทศเวียดนาม ตลอดจนราคาไก่และสุกรในไทยที่ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะได้รับอานิสงส์จากการที่บริษัทไปลงทุนในต่างประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมาด้วย

ภาระหนี้ของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงจากแผนการลงทุนจำนวนมากของบริษัท ส่งผลให้เงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้ว (ซึ่งรวมถึง 50% ของจำนวนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ที่ถูกนำมาคำนวณเป็นเงินกู้) เพิ่มขึ้นจาก 299,600 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2560 มาอยู่ที่ระดับ 323,245 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 59.3% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 จากระดับ 57.8% ในปี 2560

กระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลงจากอัตรากำไรที่ลดลงและเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 2.6 เท่าในปี 2560 และ 3.2 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 เทียบกับระดับ 4.2 เท่าในปี 2559 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทเท่ากับ 7.2% ในปี 2560 และครึ่งแรกของปี 2561 ลดลงจากระดับ 10.6% ในปี 2559

อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องของบริษัทยังคงแข็งแกร่งจากการมีความยืดหยุ่นทางการเงินที่อยู่ในระดับสูง บริษัทมีเงินลงทุนในสัดส่วน 34.2% ใน บมจ. ซีพี ออลล์ (CPALL) ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกประเภทร้านค้าสะดวกซื้อในประเทศไทยอีกด้วยเช่นกัน โดยเงินลงทุนซึ่งถือหุ้นโดยบริษัทคิดเป็นมูลค่าตามราคาตลาด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 อยู่ที่ระดับประมาณ 225,500 ล้านบาท

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเอาไว้ได้ นอกจากนี้ การเป็นบริษัทที่มีความหลากหลายทั้งในด้านของการดำเนินงาน สินค้า และตลาดก็น่าจะช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรซึ่งมีลักษณะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์และความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโรคได้บางส่วน

ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วงปี 2561-2563 รายได้ของบริษัทจะเติบโตระหว่าง 520,000-620,000 ล้านบาท EBITDA จะอยู่ที่ระดับ 33,000-58,000 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่ในช่วง 3 ปีข้างหน้าก็คาดว่าอัตราส่วน EBITDA ต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 3-4 เท่า และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 60%

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถทำให้โครงสร้างเงินทุนมีความแข็งแรงมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็สามารถเพิ่มกระแสเงินสดส่วนเกินสำหรับการชำระหนี้อย่างมีนัยสำคัญได้อย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้หากบริษัทมีการซื้อกิจการโดยใช้เงินกู้จำนวนมากซึ่งจะส่งผลต่อโครงสร้างเงินทุนและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ หรือในกรณีที่ผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอกว่าที่คาดไว้เป็นอย่างมาก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ