นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าจะแกว่งพักฐาน เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ส่วนใหญ่จะติดลบเล็กน้อย จากความกังวลอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) อายุ 10 ปี ของสหรัฐฯที่ปรับตัวขึ้นมาจ่อ High เดิมที่ 3.24% ซึ่งสูงสุดในรอบ 7 ปี และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯก็กลับมาแข็งค่าขึ้นด้วย
ขณะที่ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ออกมาเมื่อวานนี้ แม้ยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ไม่เปลี่ยนท่าทีในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ที่ในปีนี้คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้ง, ปี 62 จะขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง และปี 63 จะขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง ทำให้ไปถ่วง Emerging Market นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็เข้าสู่ตลาดหมีแล้วเมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 9
พร้อมให้แนวรับ 1,670-1,675 จุด ส่วนแนวต้าน 1,690 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (8 พ.ย.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,191.22 จุด เพิ่มขึ้น 10.92 จุด (+0.04%) ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,806.83 จุด ลดลง 7.06 จุด (-0.25%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,530.88 จุด ลดลง 39.87 จุด (-0.53%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 15.61 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 14.39 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 302.63 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 19.46 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 1.26 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 14.86 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 2.14 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 3.68 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (8 พ.ย.61) 1,681.73 จุด เพิ่มขึ้น 6.40 จุด (+0.38%)
- นักลงทุนต่างชาติต่างชาติซื้อสุทธิ 1,587.03 ล้านบาท เมื่อวันที่ 8 พ.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (8 พ.ย.61) ปิดที่ 60.67 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 1.00 ดอลลาร์ หรือ 1.6%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (8 พ.ย.61) ที่ 4.20 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.00 อ่อนค่าจากวานนี้ตามภูมิภาค หลังเฟดมีมติคงดอกเบี้ยตามคาด,ส่งสัญญาณปรับขึ้นในธ.ค.
- "สมคิด"จบภารกิจเยือนจีน พอใจผลเจรจากระตุ้นนักท่องเที่ยว ดึงธุรกิจจีนมาไทย เผยบริษัทลูกอาลีบาบาสนใจเอไอ ป้อนเมืองอัจฉริยะ หารือผู้ผลิตยางรถยนต์ยักษ์ใหญ่เข้ามาลงทุนในอีอีซี เฟสแรก 1 หมื่นล้าน เจรจามนตรีแห่งรัฐจีน กระชับความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ เพิ่มกลไกระดับมณฑลเชื่อมอาเซียน ให้คำมั่นดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวจีน เล็งโชว์คลิปโปรโมทในวันคนโสด
- "ศิริ" เผย "ปตท.สผ.-เชฟรอน" ผู้ยื่นประมูลสำรวจ-ผลิตปิโตรเลียม "เอราวัณ-บงกช" คุณสมบัติผ่านฉลุย รอเปิดข้อเสนอราคาก๊าซฯ-ส่วนแบ่งกำไร-ผลตอบแทนรัฐ คาดรู้ผลผู้ชนะการประมูลได้ภายในเดือน ธ.ค.นี้
- "กกพ." เบรกไม่อยู่เคาะขึ้นค่าไฟงวดใหม่ (ม.ค.-เม.ย.62) จำนวน 4.30 สตางค์ต่อหน่วยหลังต้นทุนน้ำมัน ก๊าซฯ พุ่งดันค่าไฟต้องปรับสูงถึง 24 สตางค์ต่อหน่วย แต่ใช้การบริหารสารพัดวิธีโดยเฉพาะมาตรการ ทางการเงินที่ยอมเทหมดหน้าตัก 1.03 หมื่นล้านบาทเพื่อดูแล รับขึ้นเอฟทีครั้งแรกในรอบ 16 เดือน เตือนทำใจปีหน้าค่าไฟขาขึ้น
- "วิษณุ" เผยไทม์ไลน์การเมืองจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค.61 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.จะเริ่มมีผลบังคับใช้ หลังพ้นเวลา 90 วันที่ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เตรียมพร้อมจัดการเลือกตั้ง ซึ่งจะต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 150 วัน หรือ ภายในวันที่ 9 พ.ค.62 ขณะที่ภายในเดือน ธ.ค.61 คาดว่าจะออกประกาศ พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่ง กกต.จะยกร่างฯ เสนอให้ ครม. โดยเมื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แล้วจะเริ่มมีผลบังคับใช้ทันที จากนั้น กกต.จะออกประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง, กำหนดวันรับสมัครเลือกตั้ง ภายใน 5 วัน ซึ่งจะสอดคล้องกับการปลดล็อคกิจกรรมทางการเมืองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
- สมาคมโบรกฯถกลด ค่าคอมวันนี้ โบรกเกอร์เสียงแตก บล.ทิสโก้ ชี้ทำได้หลังเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นแล้ว ไม่แข่งขันรุนแรง ขณะที่ "มนตรี ศรไพศาล" เชื่อสมาคมฯพิจารณารอบคอบ หวั่นซ้ำรอยวิกฤติปี 2542-2543 ที่โบรกเกอร์ขาดทุนทั้งอุตสาหกรรม
- "กบง." เคาะควักเงินกองทุนน้ำมันฯ 700 ล้านบาทกดราคาจำหน่ายบี 20 สำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่และรถขนส่งสาธารณะ ลงอีก 2 บาทต่อลิตรจากเดิมลด 3 บาทต่อลิตรเป็น 5 บาทต่อลิตรเริ่ม 1 ธ.ค.-28 ก.พ.62 หวังดึงรถบรรทุก ใช้เพิ่ม คาด 3 เดือนดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ CPO ได้กว่า 3 หมื่นตัน ส่วนวินมอเตอร์ไซค์ 4 หมื่นรายเก้อรัฐเลื่อนขายน้ำมันถูก 15 ธ.ค.นี้ไปก่อนเหตุต้องถกคลังเรื่องแหล่งเงิน
*หุ้นเด่นวันนี้
- SMT (เคทีบี) "ซื้อ"เป้า 2.90 บาท มองบวกต่อผลประกอบการ Q3/61 ที่ออกมาดีตามคาด โดยการเพิ่มขึ้นของกำไรมาจากสาเหตุหลัก คือ 1) ยอดขายที่เพิ่มขึ้น โดยยอดขายใน Q3/61 อยู่ที่ 457 ล้านบาท เติบโต 2% YoY และ 17% QoQ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในสินค้ากลุ่ม IC และกลุ่ม Fiber optics และ 2) ดอกเบี้ยจ่ายลดลง 16% YoY และ 29% QoQ เนื่องจากมีการคืนเงินกู้ระยะยาวบางส่วน อย่างไรก็ตาม SMT อยู่ระหว่างการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงคาด Q4/61 จะทำกำไรสุทธิสูงสุดของปี นำโดยดีมานด์ของตลาด IC และ Fiber optics ที่มีแนวโน้มยอดขายเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ยังคงประมาณการกำไรสุทธิในปี 2561 และ 2562 ที่ 69 และ 147 ล้านบาท ตามลำดับ
- SAWAD (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้าใหม่ 55 บาท คาดกำไรสุทธิ Q3/61 กลับมาเป็นปกติ เบื้องต้นคาดไว้ประมาณ 761 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22%qoq และ 25%yoy จากยอดสินเชื่อที่ยังเติบโต และ NIM ที่กลับมาฟื้นตัว
- STEC (ไอร่า) เป้า 32.50 บาท ภายใต้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 62 เพิ่มขึ้น 42%อยู่ที่ 1,419 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดมีแรงเก็งกำไรตามกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่ารวมกว่า 200,000 ล้านบาท กำหนดยื่นซอง 12/11/61 เป็นต้น คาด STEC เป็น 1 ใน 4 ผู้รับเหมาฯ รายใหญ่ ที่มีศักยภาพและโอกาสในการรับงานเพิ่ม โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ที่คาดเข้าร่วมประมูลกับ BTS และ RATCH เช่นเดียวกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู พร้อมคาดปี 62 ความสามารถทำกำไรของ STEC กลับสู่ระดับปกติ คาด Gross Profit Margin เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 8.0% หลังงานก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ใกล้แล้วเสร็จ (Margin = 0%) และสัดส่วนรายได้งานก่อสร้างโรงไฟฟ้า (คาด Margin ไม่ต่ำกว่า 10%) เพิ่มขึ้น พร้อม Backlog (สิ้น Q2/61) สูงถึง 120,000 ล้านบาท เพียงพอต่อการรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 4 ปีข้างหน้า โดยคาดรายได้ปี 61-62 เติบโตเฉลี่ย 20% อยู่ที่ 23,972 ล้านบาท และ 28,766 ล้านบาท ตามลำดับ