"ปีที่แล้วเราทำกำไรสูงสุดตั้งแต่มี PTTGC มา ดูแนวโน้ม 9 เดือนของปีนี้ดีกว่างวดปีที่แล้ว 21% ก็เป็นการส่งสัญญาณว่ามีความเป็นไปได้ที่เราจะทำกำไรในปีนี้ได้ดี หรือดีกว่า"นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 60 PTTGC มีกำไรสุทธิ 3.93 หมื่นล้านบาท และมีรายได้จากการขาย 4.37 แสนล้านบาท ขณะที่ในงวด 9 เดือนแรกปีนี้มีกำไรสุทธิได้แล้ว 3.6 หมื่นล้านบาท และมีรายได้จากการขาย 3.87 แสนล้านบาท
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทที่ดีในปีนี้เป็นผลจากการใช้กำลังผลิตที่มีความต่อเนื่องในระดับที่ดีทั้งในส่วนของธุรกิจโอเลฟินส์ ,โรงกลั่นน้ำมัน และอะโรเมติกส์ ประกอบกับ การรับรู้ผลการดำเนินงานของกิจการต่าง ๆ ที่ได้เข้าซื้อในช่วงที่ผ่านมา เช่น การเข้าซื้อหุ้น 6 บริษัทในธุรกิจปิโตรเคมีสายโพรพิลีน สายเคมีภัณฑ์ชีวภาพของกลุ่ม บมจ.ปตท. (PTT) ในปีที่ผ่านมาก็จะรับรู้เต็มที่ในปีนี้
ส่วนในปี 62 แม้ว่าบริษัทจะมีแผนหยุดซ่อมบำรุงโรงงานอะโรเมติกส์ 1 หน่วย และโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งอาจจะกระทบต่อกำลังการผลิตรวม แต่ก็จะถูกชดเชยได้บ้างจากการรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มที่ของโรงงาน LLDPE เฟส 2 ที่เริ่มเดินเครื่องผลิตเมื่อเดือน มี.ค.61 และโรงงานเมทิสเอสเตอร์ ของ บมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล (GGC) ซึ่งเป็นบริษัทลูก ที่จะเริ่มเดินเครื่องในไตรมาส 4/61 เป็นต้น ขณะที่ยังต้องจับตาปัจจัยสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนว่าจะมีการขยายผลไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกหรือไม่ แม้ในปัจจุบันยังเห็นความต้องการใช้เม็ดพลาสติกในตลาดโลกอยู่
"ปีหน้าเป็นความท้าทายเพราะอยู่ท่ามกลางความผันผวนหลาย ๆอย่างทั้งการเมืองระหว่างประเทศ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เป็นข้อกังวลอยู่ถ้าไม่ได้ขยายผลจนนำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ก็ไม่น่ากังวลเท่าไหร่ เพราะความต้องการใช้ของสหรัฐและจีนก็ยังอยู่เท่าเดิม แต่อาจไม่ซื้อกันเอง อาจจะมาซื้อกับเรา หรือของที่เขาเคยขายออกมาอาจจะเข้ามาขายในกลุ่มเรา แต่ก็ยังไม่น่าห่วงเท่าไหร่
แต่เราต้องจับตาใกล้ชิดที่เรากลัวคือจะขยายแล้วบานปลายนำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งน่าจะเห็นความชัดเจนในไตรมาส 1 ของปีหน้า ถ้าไม่มีอะไรขยายผลมาก เราก็คิดว่าปีหน้าไม่น่ามีผลกระทบที่ลดลงในสาระสำคัญ เพราะแนวโน้ม capacity ใหม่ที่เกิดขึ้นในปีหน้า แม้มีผลกระทบแต่ก็ไม่คิดว่าจะมากมายอะไร"นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
นายสุพัฒน์พงษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับความคืบหน้าการลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในสหรัฐ ปัจจุบันก็อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียด ซึ่งคงต้องใช้ระยะเวลาระยะหนึ่ง เพราะเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่จะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งเบื้องต้นน่าจะสรุปความชัดเจนได้ในต้นปี 62
ขณะเดียวกันบริษัทยังจะขับเคลื่อนธุรกิจโดยนำหลัก Circular Economy มาประยุกต์ใช้ทั้งภายในและภายนอกองค์กร พร้อมสร้างความตระหนักรู้ โดยมุ่งหวังไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า โดยมีเป้าหมายจะลดปริมาณการใช้พลาสติกชนิดใช้แล้วทิ้ง เช่น ถุงช็อปปิ้ง จำนวน 1.5 แสนตัน/ปี ให้เหลือ 0 ตัน/ปี ภายใน 5 ปี มุ่งสู่ตลาดไบโอพลาสติก ในการผลิต Packaging รูปแบบต่าง ๆ การ Upcycling ด้วยการนำนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์มาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์
พร้อมกันนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนโรงงานรีไซเคิล พลาสติกครบวงจรมาตรฐานสากล ขนาด 3-4 หมื่นตัน/ปี มูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม จังหวัดระยอง ขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม การแสวงหาพันธมิตรร่วมลงทุน รวมทั้งการจัดหาวัตถุดิบ (Waste Collection) ที่เหมาะสมคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในต้นปี 62 และน่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 63
ด้านนางสาวดวงกมล เศรษฐธนัง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินและบัญชี ของ PTTGC กล่าวว่า ยอดขายในไตรมาส 4/61 จะดีกว่า 1.37 แสนล้านบาทในไตรมาส 3/61 จากการเดินเครื่องกำลังการผลิตของทุกโรงงานเต็มที่ จากที่ในไตรมาส 3/61 มีหยุดซ่อมบำรุงโรงงานโอเลฟินส์บางหน่วย ขณะที่แนวโน้มราคาผลิตภัณฑ์ HDPE ในกลุ่มโอเลฟินส์ และโพลีเมอร์ อาจจะอ่อนตัวลง แต่ราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ยังอยู่ระดับสูง
ทั้งนี้ ค่าการกลั่น (GRM) จะดีกว่าระดับ 6.44 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลใน Q3/61 จากช่วงเข้าสู่ฤดูการใช้น้ำมันดีเซล และส่วนต่าง (สเปรด) พาราไซลีน (PX) ในกลุ่มอะโรเมติกส์ สูงขึ้นอยู่ที่ราว 600 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากราว 500 เหรียญสหรัฐ/ตันในไตรมาส 3/61 หลังกำลังการผลิตใหม่จากซาอุดิอาระเบียและเวียดนาม รวม 2 ล้านตัน/ปี ถูกเลื่อนออกไปเป็นในปีหน้า ขณะที่สเปรด ของ HDPE ยังทรงตัวที่ราว 700 เหรียญสหรัฐ/ตัน
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าในช่วงไตรมาส 4/61 อาจจะเผชิญกับผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน (stock loss) หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ขณะนี้อ่อนตัวลง เมื่อเทียบกับในช่วงสิ้นไตรมาส 3/61 ที่อยู่ระดับ 77 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ส่วนในปี 62 มองว่าทิศทางผลการดำเนินงานหลักอาจถูกกระทบจากแนวโน้มธุรกิจที่จะอ่อนตัวลง จากทิศทางราคา และสเปรด HDPE ที่อาจจะอ่อนตัวลงจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้าสู่ตลาดโลก แต่มองราคา HDPE ยังอยู่ในระดับที่ดีที่ราว 1,311 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่ธุรกิจอะโรเมติกส์ แม้จะมีความต้องการใช้ แต่ก็มีกำลังการผลิตใหม่ที่เลื่อนเข้ามาในปีหน้า โดยมองสเปรด PX ที่ระดับ 395 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากเฉลี่ย 410 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีนี้
"ปีหน้าก็จะมี MAX เข้ามา 3 พันล้านบาทในปีหน้า ก็จะมาช่วยชดเชยสิ่งที่เรา shut down ปีหน้าแม้โครงการ MAX จะสิ้นสุดแต่เราก็ทำโครงการ MAX infinity ต่อ ทำต่อเนื่อง improvement ตลอด ต่อจาก MAX ก็จะเป็น digitalization ปี 2022 ก็จะได้สร้าง EBITDA อีก 150 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี"นางสาวดวงกมล กล่าว
อนึ่ง PTTGC ดำเนินโครงการ MAX ซึ่งเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานทั่วทั้งองค์กร ในช่วง 3 ปี (ปี 60-63) ซึ่งจะช่วยสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ได้ราวปีละ 3 พันล้านบาท