นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บมจ.แสนสิริ (SIRI) กล่าวว่า ในช่วงเดือนธ.ค.ที่จะถึงนี้ บริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมที่จะเปิดในต่างจังหวัดอีก 2 โครงการ คือ โครงการคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ท ที่หัวหิน มูลค่า 2.3 พันล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียมในจังหวัดเชียงใหม่อีกหนึ่งโครงการ ซึ่งจะเข้ามาสนับสนุนยอดขายในช่วงที่เหลือของปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ ยอดขายรวมของบริษัทถึงปัจจุบันทำได้แล้ว 4.3 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นกว่า 80% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังคงมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ล่าสุดบริษัทได้เปิดโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุนระหว่างบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) และแสนสิริ โครงการที่ 13 คือ "เดอะไลน์ พหลโยธิน พาร์ค" มูลค่า 4.9 พันล้านบาท จำนวน 880 ยูนิต ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯโครงการสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับห้าแยกลาดพร้าว ที่นับเป็นจุดศูนย์กลางการคมนาคมหลายรูปแบบ ตอบรับทุกการเดินทาง ใกล้รถไฟฟ้า 2 สายที่เดินทางสะดวกเพียง 300 เมตร จากรถไฟฟ้าสายสีเขียวสถานีห้าแยกลาดพร้าวที่จะเปิดบริการในปี 62 และห่าง 700 เมตร จากรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีพหลโยธิน และใกล้กับการคมนาคมที่สำคัญ เช่น ทางด่วน สถานีขนส่งโดยสาร และสนามบิน เป็นต้น รวมถึงใกล้กับห้างเซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว และยูเนี่ยนมอลล์
นอกจากนี้โครงการเดอะไลน์ พหลโยธิน พาร์คยังจัดเต็มพื้นที่ส่วนกลางมากถึง 3,000 ตารางเมตร และสวนกว้างกว่า 8 ไร่ เพื่อตอบโจทย์การเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแรกที่เป็นต้นแบบแนวคิดการพัฒนาคอนโดมิเนียมรูปแบบ "Green Concept" ส่วนศักยภาพของทำเลย่านลาดพร้าว-พหลโยธิน นับว่ามีศักยภาพมาก เพราะราคาที่ดินมีแนวโน้มสูงขึ้นเฉลี่ย 12% ต่อปี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันราคาขายคอนโดมิเนียมในบริเวณทำเลลาดพร้าว-พหลโยธิน อยู่ที่ 150,000-170,000 บาท/ตารางเมตร โดยราคาขายคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น 5-7% ต่อปี และมีอัตราการดูดซับในทำเลดังกล่าวสูงถึง 80% ซึ่งมีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 17.7% ต่อปี
โครงการคอนโดมิเนียม เดอะไลน์ พหลโยธิน พาร์ค มูลค่า 4.9 พันล้านบาท เตรียมเปิดขายพรีเซลอย่างเป็นทางการในวันที่ 17-18 พ.ย. 61 ราคาขายเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท หรือราคาขายเฉลี่ย 139,000 บาท/ตารางเมตร โดยตั้งเป้ายอดขายโครงการดังกล่าวตั้งแต่ช่วงเปิดพรีเซลถึงต้นปี 62 ที่ 40-50% ซึ่งบริษัทคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่ดี และลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาซื้อโครงการนี้จะเป็นลูกค้าชาวไทยเป็นส่วนใหญ่ โดยโครงการดังกล่าวมีกำหนดการโอนในช่วงไตรมาส 3/65
แนวโน้มของการซื้อ-ขายคอนโดมิเนียมในปี 62 มองว่าจะเริ่มเห็นกลุ่มลูกค้าที่เป็นเรียลดีมานด์ ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงเพิ่มมากขึ้น และลูกค้าที่ซื้อเพื่อเก็งกำไรจะเริ่มลดลง เพราะมาตรการควบคุมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีผลต่อความรู้สึกของกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อเก็งกำไร อีกทั้งในปี 62 มองว่าภาวะเศรษฐกิจอาจจะไม่ค่อยดีนัก ทำให้กลุ่มลูกค้าที่เก็งกำไรระมัดระวังในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ แต่กลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์หรือกลุ่มลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยอยู่จะยังคงมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอยู่ และไม่ได้มีผลกระทบต่อมาตรการควบคุมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของธปท. ทำให้จะมีกลุ่มลูกค้าดังกล่าวมากขึ้นกว่ากลุ่มลูกค้าเก็งกำไรในปี 62 และบริษัทมองว่าการเลือกตั้งและการลงทุนของภาครัฐจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้บ้าง และทำให้ลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยจริงตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น