นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็ปเป้ (SAPPE) เปิดเผยว่า กำไรสุทธิในไตรมาส 3/61 เท่ากับ 67.2 ล้านบาท ลดลง 39.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายที่ลดลงสาเหตุจากผลกระทบจากฤดูกาล และความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้การสั่งซื้อชะลอตัวลง ซึ่งยอดขายที่ลดลงนี้ส่งผลให้อัตราการผลิตอยู่ในระดับต่ำและอัตราส่วนต้นทุนขายสินค้าเทียบกับรายได้รวมอยู่ในระดับสูง ทำให้อัตรากาไรลดลงจาก 15.1% ในไตรมาส 3/60 มาเหลือ 10.4% ในไตรมาส 3/61
ส่วนรายได้จากการขายในไตรมาส 3/61 มีจำนวน 633.4 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 724.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นการลดลง 12.5% สาเหตุหลักเกิดจากตลาดต่างประเทศ โดยรายได้จากการขายต่างประเทศที่ชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
ในส่วนของรายได้จากการขายในประเทศต่ำกว่าคาดการณ์เล็กน้อย เนื่องจากตลาดเครื่องดื่มภายในประเทศหดตัว แต่ทั้งนี้ทางบริษัทฯได้มีการเพิ่มกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ออกขายในไตรมาสที่ 2 และ 3 มาชดเชย ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ Healthier Snack แบรนด์ Beauti Jelly ก็ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากผู้บริโภค ทาให้บริษัทฯ สามารถรักษาฐานยอดขายในประเทศไว้ได้ท่ามกลางสภาพอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงสูงสอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมและสินค้าใหม่เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
สำหรับในช่วง 9 เดือนปี 61 บริษัทมีกำไรสุทธิ 306 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากฤดูกาลขายที่เลื่อนขึ้นมาจากปีก่อนๆ ในไตรมาส 2-3 เป็นช่วงไตรมาส 1-2 ในปี 61 ทำให้ครึ่งปีแรกบริษัทเติบโตได้ดีค่อนข้างน่าพอใจ โดยหากมองในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ยอดขายอยู่ที่ 2,226 ล้านบาท ยังเติบโต 6% คิดเป็นเฉพาะปริมาณขายเครื่องดื่มเติบโต 11% สวนกระแสภาพรวมอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตาม แม้ SAPPE ได้รับผลกระทบจากปัจจัยค่าเงินที่มีผลต่อรายได้จากการส่งออกและภาวะอุตสาหกรรมเครื่องดื่มภายในประเทศ รวมถึงต้นทุนวัตถุดิบบางรายการ เช่น พลาสติก ที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่บริษัทฯ ยังสามารถรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งกว่าภาวะอุตสาหกรรมเครื่องดื่มโดยรวม สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการดำเนินงานที่บริษัทสามารถการแข่งขันและบริหารจัดการเพื่อควบคุมต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงความสำเร็จจากการขยายตลาดไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์ Healthier Snack ภายใต้แบรนด์ ‘เซ็ปเป้ บิวติ เจลลี่’ และขนมขบเคี้ยวที่ทำจากเนื้อปลาทะเลภายใต้แบรนด์ ‘ZEA Max’ (ซีแม็กซ์) ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค
"เรายังคงต้องระมัดระวังความท้าทายปัจจัยภายนอกอยู่บ้าง เช่น ต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น หรือแม้แต่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนของคู่ค้าเราเองเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์หรือแม้แต่เงินบาท แต่ยังมั่นใจว่าภาพรวมทั้งปีจะเติบโตได้ใกล้เคียงกับแผนที่วางไว้...และจะมีสินค้าใหม่ที่จะออกเพิ่มเติมอีกตามแผนงานในไตรมาส 4 และในอนาคต" นางสาวปิยจิต กล่าว