นายพงศ์ธร ธาราไชย ประธานกรรมการบริหาร บมจ.โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส (PPS) เปิดเผยว่า บริษัทปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของบริษัทย่อย โดยเปลี่ยนชื่อ PPSD เป็น PPS Oneworks ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรต่างชาติ คือ Oneworks Asia นิติบุคคลจากประเทศสิงคโปร์ (บริษัทแม่คือ Oneworks บริษัทสถาปนิกชั้นนำจากประเทศอิตาลี) ได้ทำการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 30 ล้านบาท โดย PPS ถือหุ้น 51% และ Onework Asia ถือหุ้น 49% เพื่อขยายธุรกิจด้านการออกแบบ การบริหารงานก่อสร้าง งานประมาณราคา งาน BIM (Building Information Modeling) และ Technical Support
นอกจากนี้ยังเปลี่ยนชื่อ PIC เป็น PPSI หรือ บริษัท พีพีเอส อินโนเวชั่น จำกัด รองรับการรับงานด้าน Facility Management หรือ การบริหารจัดการอาคาร เพื่อขยายขอบเขตการรับงานทั้งงานที่ปรึกษาด้านพลังงานและด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับงานก่อสร้าง ทั้งนี้การปรับโครงสร้างของบริษัทย่อยดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างศักษภาพและโอกาสในการรับงานมากขึ้น
ขณะที่บริษัท โปรฟิน กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนดำเนินธุรกิจ Project Financing และ ICO Portal มีแผนจะยื่นการขออนุมัติในการเป็นผู้ให้บริการระบบเสนอขายดิจิทัล จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ภายในเดือน พ.ย.และคาดว่าจะทราบผลเร็วๆนี้
สำหรับแนวโน้มธุรกิจของบริษัทในช่วงไตรมาส 4 บริษัทจะทยอยรับรู้รายได้จากงานเอกชนหลายแห่ง อาทิ โครงการคอนโดมีเนียม โครงการค้าปลีก รวมถึงงานภาครัฐบางส่วน นอกจากนี้มีงานห้างสรรพสินค้า รวมทั้งงานจากโครงการต่างๆ ที่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญา มูลค่ารวมประมาณ 150 ล้านบาท และอยู่ในระหว่างศึกษาโครงการที่จะเปิดโอกาสให้มีการยื่นประมูลงานในอนาคต เช่น งานรถไฟ งานโครงการท่าเรือ ปัจจุบันบริษัทมี Backlog อยู่ที่ 286 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ประมาณ 76 ล้านบาทภายในปีนี้ ที่เหลือจะทยอยรับรู้ได้รายถึงปี 64
ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 61 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 299.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 289.09 ล้านบาท จำนวน 10.62 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.67 % และมีกำไรสุทธิ 20.25 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 51.41 ล้านบาท จำนวน 31.16 ล้านบาท หรือลดลง 60.61%
ขณะที่ไตรมาส 3/61 มีรายได้รวม 104.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 98.82 ล้านบาท จำนวน 6.13 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6.20% และมีกำไรสุทธิ 5.75 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 17.73 ล้านบาท จำนวน 11.98 ล้านบาท หรือลดลง 67.59%
นายพงศ์ธร กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทมีการชะลอตัวลงเนื่องจากมีต้นทุนที่สูงขึ้น จากการปรับค่าจ้างของพนักงานประจำปีและรับพนักงานเพิ่มเพื่อรองรับการดำเนินงานในธุรกิจใหม่ นอกจากนี้บริษัทมีการปรับประมาณการรายได้บางโครงการ อย่างไรก็ตามคาดว่าในช่วงไตรมาส 4 จะกลับมารับรู้กำไรตามปกติ